ธรรมะจากสามเณรน้อย

บรรยากาศภายในวัดเงียบสงบ ร่มรื่น มีต้นไม้สูงใหญ่ ให้ความร่มเย็นแก่ผู้คนในละแวกนั้น และผู้คนที่ไปทำบุญ วันนี้มีคนมาทำบุญกันเยอะมาก โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ ที่เข้ารับการบรรพชาบวชสามเณรภากฤดูร้อน จึงนับได้ว่าเป็นกลยุทธที่แยบยลดึงพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าวัด บางคนบอกว่านานแล้วที่ไม่ได้เข้าวัดทำบุญทำทาน ถ้าลูกไม่บวชก็ไม่มีโอกาสได้เข้าวัด ผู้ปกครองบางคนเป็นเจ้าภาพเลี้ยงถวายภัตราหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์

540557_559729510727230_1937269926_n

ผู้เขียนได้มีโอกาสนำอาหารใส่ปิ่นโตไปถวายพระภิกษุสงฆ์ที่วัดสุวรรณาราม หลังจากที่ห่างหายจากวัดมาเป็นเวลานาน จำได้ว่าตอนสมัยเด็กได้ตามยายไปวัดด้วยเสมอ ยายบอกว่าให้นั่งอยู่กับที่อย่าไปไหนนะ คนมาวัดเยอะเดี๋ยวหายไปนะลูก แต่พอผู้ใหญ่เดินหายไป ผู้เขียนก็ทำบ้าง แอบเดินตามไป พอผู้ใหญ่หันมารีบวิ่งกลับไปนั่งที่เดิมทันที บางครั้งก็อยากไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ซื้อขนมมากินกัน สนุกสนานจนเพลิน ไม่ได้เข้าไปนั่ง มั่วเล่นสนุกอยู่ด้านนอกศาลา แต่คราวนี้ผู้เขียนต้องแสดงบทบาทเป็นผู้ใหญ่เสียเอง ก็ต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อย รอพระท่านฉันข้าวเสร็จ พระท่านให้ศีลให้พรเสร็จเรียบร้อย ก็มาให้อาหารปลาที่ริมน้ำของวัดสุวรรณ การทำบุญทำทานแล้วทำให้เราสบายใจ มองดูสายน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ เหมือนชีวิตคนเราที่ต้องดำเนินต่อไป

ผู้เขียนให้อาหารปลาเสร็จแล้วก็หาที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจซึ่งเป็นที่นั่งม้าหินอ่อนใต้ต้นมะขามใหญ่ของวัดแห่งนี้ นั่งเงียบๆ อยู่คนเดียว สักครู่ก็มีลูกเณรเดินมาที่ใต้ต้นมะขามแห่งนี้ ผู้เขียนมีความสุขมาก ลูกเณรยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาผิวพรรณผุดผ่องหน้าตาสดใสอิ่มบุญมากๆ ผู้เขียนอัศจรรย์ใจมากๆ ลูกอยู่ในผ้าเหลืองช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ฝากลูกไว้ปฏิบัติธรรมที่วัดช่วงปิดเทอมช่างล้ำค่าเสียจริง ตอนแรกลูกเณรนั่งลงไม่พูดอะไรเลย สักปะเดี่ยวก็ลุกขึ้นเดินเวียนม้าหินอ่อน และเวียนม้าหินอ่อนที่โยมแม่นั่งอยู่ด้วย สามเณรมองโยมผู้เขียนแล้วก็อมยิ้ม และพูดทำลายบรรยากาศความเงียบขึ้นมาก

“โยมแม่ครับ อยุ่บ้านเป็นอย่างไรบ้างครับ” ผู้เขียนจึงตอบกลับไปว่า ตอนนี้แม่มีความทุกข์มากเหลือเกิน ลูกๆปิดเทอมแล้ว แม่อยู่บ้านคนเดียว พี่และน้องของเณรก็ไม่อยู่ กลับใต้ไปหาแม่เฒ่าที่ทุ่งสง” ผู้เขียนหยุดนิดหนึ่งและกล่าวว่า “ถ้าพี่หรือน้องของเณรอยู่แม่ก็จะกอดให้หายคิดถึง แม่มีความทุกข์มาก ทุกข์เพราะไม่มีใครอยู่ให้แม่กอดเลย แม่คิดถึงลูกมาก ทุกคนทิ้งแม่ไปหมดเลย ทิ้งแม่ให้เศร้ามีความทุกข์อยู่คนเดียว” ผู้เขียนถอนหายใจ “ถ้าลูกเณรไม่บวชนะ โยมแม่จะกอดให้หายคิดถึงไปเลยค่ะ” เณรได้แต่ยิ้มและพูดว่า “โยมแม่ครับลูกไม่อยู่บ้าน โยมแม่ก็ต้องทำความสะอาดบ้านบ้างนะครับ” ผู้เขียนรับคำ ค่ะโยมแม่ก็ปัดกวาดเช็ดถูทุกวันอยู่แล้วค่ะเณร แต่เอ๊ะ! ทำไมวันนี้ลูกเณรพูดแปลกๆ” สามเณรกล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าลูกไม่อยู่บ้าน แม่ก็ต้องทำความสะอาด เก็บกวาดขยะใส่ถุงดำหรือถุงพลาสติก มัดปากถุงให้เรียบร้อย อย่าให้ขยะมันตกหล่นเรี่ยราดออกมานอกถุง บ้านมันก็จะสกปรก ความทุกข์ก็ต้องเก็บไปทิ้งเสียบ้าง อย่าเก็บไว้ในใจ ความทุกข์เปรียบเหมือนขยะ เน่าเหม็น เอาไปทิ้งเสียเถอะ แล้วมัดปากถุงขยะให้แน่นๆ อย่าให้มันปลิวกลับเข้ามาในภายในจิตใจของโยมแม่อีกเลย อย่าเก็บความทุกข์ไว้นะครับ เอามันไปโยนทิ้งลงถังขยะ หรือเอาไปเผาไฟ ขยะก็เหมือนความทุกข์เอาไปทิ้งนะครับโยมแม่”

ผู้เขียนตะลึงในคำพูดของสามเณร ถึงแม้ว่าจะเป็นความพูดของเด็กตัวเล็กๆ แต่เป็นหลักธรรมที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผู้ใหญ่บางคนหากรู้จักปล่อยว่าง ทำจิตใจให้ว่างเว้นจากความทุกข์ทรมาน เพราะความทุกข์ที่เกิดจากการคิด ผู้เขียนทุกข์ใจที่คิดถึงลูก ธรรมะได้ขัดเกลาจิตใจสามเณรอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก สามเณรให้ธรรมะขั้นสูงกับผู้เขียนๆ คิดในในใจว่า ลูกคิดได้อย่างไร แม่ไม่ผิดหวังเลยที่ฝากลูกไว้ปฏิบัติธรรมที่วัด หลวงพ่อได้อบรมสั่งสอน ขัดเกลาจิตใจได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนลาสามเณรกลับบ้านแต่ในสมองคิดถึงคำพูดของสามเณรตลอดเวลา  “…ความทุกข์เปรียบเหมือนขยะที่เน่าเหม็น มัดปากถุงให้แน่นๆ อย่าให้ขยะมันปลิวออกมา เปรียบเหมือนความทุกข์มันย้อนกลับมาเข้าในจิตใจของโยมแม่นะครับ….”  ความทุกข์เปรียบเหมือนขยะที่เน่าเหม็นให้นำไปทิ้งอย่าให้มันปลิวย้อนกลับมาเข้าสู่จิตใจของเรา ปล่อยวางและทิ้งมันไป แล้วเราจะมีความสุข ผู้เขียนกลับบ้านด้วยหัวใจที่เบิกบาน สุขใจจริง