หากย้อนเวลากลับไปประมาณ 48 ปีที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รู้จักกับ “ชาวกรุง” ฉันจะมีความสุขที่สุดและอยู่นิ่ง ๆได้นานๆ หากได้อยู่กับเขา แต่ด้วยความที่พ่อของฉันค่อนข้างหวงและห่วงมากหรือเกรงในความไม่เรียบร้อยของฉันก็หาทราบได้ไม่ พ่อมักจะเก็บ”ชาวกรุง”ไว้บนหลังตู้เสื้อผ้าใบใหญ่เสมอ
“ชาวกรุง” นี้มิได้หมายถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย แต่เป็นชื่อของนิตยสารในอดีตที่เปิดตัวขึ้นเมื่อปี 2494 ในเครือของ “สยามรัฐ” มี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเจ้าของ
ช่วงระยะเวลาหนึ่งระหว่างปี 2509-2512 หน้าปกของชาวกรุงจะเป็นภาพวาดตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ ด้วยภาพที่สวยงามสีสันสดใส บางคราวจะมีคำกลอนประกอบ และที่หน้าปกในจะมีคำบรรยายบอกเล่าถึงตัวละคร จึงเป็นแรงจูงใจให้ฉันใช้หลังตู้เสื้อผ้าเป็นห้องสมุดส่วนตัวในการดูรูปจากหน้าปก และอ่านคำบรรยายเกี่ยวกับตัวละคร จนเป็นความรู้ที่ติดตัวฉันแต่นั้นมา ถึงแม้มันอาจลบเลือนไปบ้างตามกาลและเวลา แต่คราวใดที่เห็นภาพหน้าปกนั้นอีกครั้งฉันจะจำได้เสมอว่าเป็นตัวละครชื่ออะไร ตัวละครที่ฉันรู้สึกสงสารและเห็นใจมาก คือ “นนทก” ยักษ์ที่ทำหน้าที่ของตน แต่ถูกเทวดารังแกหยอกเล่นเห็นเป็นเรื่องสนุกขบขัน แต่ท้ายสุด “นนทก” ผู้น่าสงสารกลับกลายเป็น “ผู้ร้าย” จึงขอกล่าวถึง “นนทก” โดยสังเขปตามที่รู้และจำได้
“นนทก”
นิตยสาร“ชาวกรุง” ปีที่ ๑๕ เล่มที่ ๙ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๙
“นนทก” เป็นยักษ์ตัวสีเขียว อยู่ที่เชิงเขาไกรลาศ มีหน้าที่ตักน้ำล้างเท้าให้ เหล่าเทวดาที่จะมาเฝ้าพระอิศวร แต่ถูกเทวดาเหล่านั้นแกล้ง ตบหัวบ้าง ดึงผมเล่นบ้าง นานวันเข้า นนทกเลยไม่มีผมเหลือบนหัวซักเส้น กลายเป็นยักษ์หัวล้านนำมาซึ่งความเสียใจและอับอายแก่ นนทกเป็นอย่างมาก จึงไปเฝ้าพระอิศวรและขอพรให้มีนิ้วเพชรชี้ไปที่ใครคนนั้นจะตาย แต่ด้วยความโกรธที่ถูกกลั่นแกล้งมาเป็นเวลานาน นนทกชี้นิ้วใส่เทวดาทั้งหลายจนล้มตายลงเป็นอันมาก ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องแปลงร่างมาเป็นนางอัปสร แสนสวยมาหลอกล่อ ให้ นนทกฟ้อนรำตามพระองค์จนชี้นิ้วใส่ตนเอง และเห็นว่านางอัปสรนั้นที่แท้จริงคือพระนารายณ์ นนทกจึงกล่าวว่าตนเองมีเพียง ๒ มือแล้วจะสู้พระนารายณ์ผู้ที่มีสี่กรได้อย่างไร
นี่คือที่มาและต้นเหตุแห่งรามเกียรติ์ ที่ นนทกมาเกิดเป็นยักษ์รูปงามนามทศกัณฐ์ มีสิบเศียรยี่สิบกร และพระนารายณ์ทรงเกิดเป็นมนุษย์ นามว่า พระราม ที่มีเพียง ๒ มือ (แต่มีเหล่าเทพเทวดาตามลงมาช่วยอีกมากมาย)
ขอบคุณภาพจาก http://soi-yuedee.blogspot.com