ทุกๆท่านคงเคยพบกับเหตุการณ์ที่น่าเบื่อ หงุดหงิด รำคาญ แต่มันมีเหตุการณ์ๆหนึ่งที่ทำให้คนบางคนที่เจอแล้วต้องบอกได้เลยว่า หงุดหงิด กระวนกระวาย เดินไปเดินมาเหมือนเสือติดจั่นเหตูการณ์นั้นก็คือ รอ ถึงแม้ว่าบุคคลที่ทำให้เรารอจะสำคัญแค่ไหนถ้าเหตุการณ์ รอ เกิดขึ้นซ้ำซากมันก็ทำให้เรา หงุดหงิด กระวนกระวาย ได้เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นแฟนกันก็ถึงกับเลิกกันไปเลยก็มี การรอถ้าไม่สำคัญหรือมีความผูกพันเนื่องด้วยชีวิตก็คงไม่มีใครอยากจะรอสักเท่าไร เพราะการรอมันเป็นสิ่งที่ทรมาน แต่นี่มันเป็นสิ่งที่เนื่องด้วยชีวิตมันถึงได้อดทน รอ รอเพื่อความเป็นอยู่ของชีวิต อย่างเช่นกรณีที่ผมจะเล่าดังต่อไปนี้
การที่ผมยกเรื่องราวเกี่ยวกับการ ‘รัก‘[ษ์] ที่ต้อง ‘รอ‘ ปัญหามันมีอยู่ว่าตั้งแต่กลางปี 2555 (ที่พอจำได้) มันมีอาการไอเป็นครั้งคราวเป็นมาเรื่อยๆจนมากลางปี 2557 อาการเริ่มหนักขึ้นขณะที่ไอใช้เวลานาน 20-30 นาทีผมก็ไปขอยาที่ห้องอนามัยใต้ตึกโดมบริการมาทาน อาการไม่หายแต่ก็ทุเลาลงพอมาปลายปี 57 ประมาณเดือนพฤศจิกายน ผมก็ไปพบหมอที่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีใกล้ๆสี่แยกแครายผมขับรถไปแต่เช้า (นึกในใจอยู่ว่าถ้าไปสายคงหาที่จอดรถไม่ได้) ถึง รพ.เวลา 06.24 น. หลังจอดรถเรียบร้อยแล้วผมก็ขึ้นไปบน รพ. ถามพนักงาน รปภ. ถึงห้องทำบัตรผู้ป่วยแกก็ชี้ไปที่โต๊ะเคาน์เตอร์ผมก็เดินไปเขียนใบสมัคร (มีแบบฟอร์มวางอยู่)และหยิบบัตรคิวได้เบอร์ 7 พอได้เวลาเปิด 08.00 น.เจ้าหน้าที่พยาบาลก็มาอธิบายเกี่ยวกับการบริการทางโรงพยาบาล และอธิบายการบริการในตรงจุดนั้นด้วยว่าใครจะได้สิทธิในการบริการก่อนและหลัง การบริการให้คนชราและคนพิการก่อนเราเห็นด้วย แต่มันมีคนอภิสิทธิมาแซกอยู่บ่อยครั้งมากชักทำให้เราไม่แน่ใจว่านานแค่ไหนจะมาถึงเรามองดูข้างหลังก็เห็นคนชราและคนพิการมากมายพอสมควร เริ่มแรกคุณพยาบาลก็ตรวจความดันโลหิตตามไปด้วยชั่งน้ำหนักให้แก่คนชราและคนพิการไปตามลำดับ หลังจากที่ผมตรวจร่างกายและอธิบายเกี่ยวกับอาการให้คุณพยาบาลฟังเสร็จแล้ว(เวลา 08.37 น.) คุณพยาบาลก็แนะนำให้ผมไปเอกซเรย์ปอดก่อนแล้วจึงไปหาหมอที่ห้องเบอร์ 8
การเอกซเรย์ปอดโรงพยาบาลนี้คนเยอะมาก ต้องนั่งคอยคิวกันยาวเหยียด เอกซเรย์เสร็จแล้วก็ต้องมาคอยรับแผ่นฟิล์มเอกซเรย์อีกนาน มองเห็นคนชราคนพิการนั่งคอยกันนานอดสงสารท่านไม่ได้ บางคนก็มีลูกหลานมาด้วยบางคนก็ไม่มี เมื่อได้แผ่นฟิล์มมา(09.52น.) เราก็ไปพบหมอก็ต้องนั่งรออีก การที่เรารอเพื่อประโยชน์อะไรบางอย่างเนื่องด้วยตัวเราเองเรามักจะรอได้เพราะมันเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ ถ้าเรารอแล้วมันคุ้มค่ากับการที่รอคอยแฮปปี้ก็เกิดขึ้น พอได้เวลาคุณพยาบาลก็เรียกพบหมอ (คุณหมอหนุ่มวัยเด็กมาก) ผมก็เล่าอาการที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริง หลังจากที่ผมเล่าอาการเสร็จคุณหมอก็สันนิษฐานว่าผมเป็นภูมิแพ้ธรรมดาแล้วหมอก็เขียนใบสั่งยาใช้เวลาเพียงแค่ 6-7นาที ผมนั่งรอคุณหมอเกือบชั่วโมงแต่คุณหมอใช้เวลาในการสันนิษฐานอาการโรคของผมเพียง 2-3 นาที แต่ผมก็เข้าใจเพราะเวลาเที่ยงแล้วคุณหมอคงจะเหนื่อยและหิว ออกจากห้องหมอผมก็ตรงไปที่ห้องจ่ายยาส่งเอกสารให้เจ้าหน้าที่สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็เรียกรับใบเสร็จแนะนำให้ผมไปที่ช่องการเงินยืนเข้าคิวอยู่ประมาณ 20 กว่านาที ออกจากช่องการเงินก็ต้องมานั่งรอรับยาวันนั้นออกจากโรงบาลเกือบบ่าย 2 โมง
อาการไม่ดีขึ้นหลังจากไปพบหมอมาหนึ่งอาทิตย์ พอดีแม่บ้านบอกว่าน่าจะไปโรงพยาบาล….อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ เพราะว่าน้องสาวของเขาเคยไปหายที่นั้นเป็นอาการเช่นเดียวกับที่เราเป็นอยู่ ผมก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาล….พอไปถึงผมก็ทำตามขั้นตอนในการกรอกแบบฟอร์มที่ทางโรงบาลจัดไว้ให้ครบทุกอย่าง พอได้เวลาคุณพยาบาลเรียกเข้าตรวจอาการ ในห้องนั้นมีทั้งคุณหมอ คุณพยาบาลและนักศึกษา คุณหมอเริ่มอธิบายให้ผมฟังว่าวันนี้มีนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายมาฝึกงานวันนี้ก็เลยจะมอบหน้าที่ให้นักศึกษาทำหน้าที่แทน(อึ้ง?) แต่คุณหมอจะคอยกำกับอยู่ห่างๆ (โล่งอก) หลังจากคุณหมออธิบายเสร็จท่านก็บอกให้ผมนั่งบนเตียงหันหลังให้นักศึกษา ยอมรับว่านักศึกษาตรวจอาการละเอียดมาก ไม่เหมือนกับไปพบหมอคราวก่อนที่ผ่านมาทำให้เราสบายใจขึ้นมาก หลังจากตรวจเสร็จนักศึกษาก็เล่าอาการให้คุณหมอฟัง (คุณหมอเป็นอาจารย์) หลังจากอาจารย์หมอรับทราบแล้วท่านก็สั่งให้นักศึกษาแพทย์พาผมไปหาหมออีกท่านหนึ่งเป็นหมอทางเวชศาสตร์ครอบครัวหมอเฉพาะทาง น้องนักศึกษาก็ยื่นรายการให้คุณหมอท่านนั้นเมื่อท่านดูแล้วก็ถามอาการผมอีกครั้ง ต่อจากนั้นท่านก็เล่าสาเหตุที่เกิดอาการไอให้ผมฟังว่ามันเกิดจากเป็นภูมิแพ้และหลอดลมอักเสบส่วนปอดนั้นยังสันนิษฐานไม่ถูกต้องเอกซเรย์ดูก่อน หลังจากนั้นท่านก็เขียนใบสั่งยาและบอกผมว่าวันนี้ก่อนจะกลับบ้านให้ไปเอกซเรย์ปอดก่อนและไปที่ห้องเจาะเลือดให้เจ้าหน้าที่เก็บเสลดเสมหะไว้ตรวจดูเชื้อ และขอกระปุกฝาสีแดงเอากลับไปบ้านกระปุกหนึ่งคราวหน้ามาจะได้นำเสลดเสมหะมาตรวจด้วยคุณหมอจะนัดมาอีกทีหนึ่ง อาการของไอหลังจากที่หมอให้ยามากินก็ลดลงบ้างแต่ไม่มาก บางครั้งก็ไอเป็นชั่วโมงเหมือนเดิม
พอถึงวันที่หมอนัดผมก็ไปแต่เช้าเพราะต้องการเบอร์บัตรคิวต้นๆ ถึงโรงพยาบาล 7 โมงกว่าๆ ก็ไปที่เคาน์เตอร์ พยาบาลบริการผมก็ยื่นใบเอกสารหมอนัดให้คุณพยาบาลแล้วเธอก็บอกให้ผมนั่งรอจนกว่าจะถึงเวลาเรียก(นัดเวลา10.30น.) ขณะที่รอหมอเรียกผมก็นั่งอ่านหนังสือที่นำติดตัวไปด้วย ยิ่งสายคนไข้ก็ยิ่งเยอะมากขึ้นที่นั่งไม่พอ คนไข้ขณะนั้นเห็นยายมีอายุแล้วมากับหลานชายดูลักษณะการแต่งกายของคุณยายสะอาดเรียบร้อยหน้าตาเปล่งปลั่งอิ่มเอิบน่าเคารพนับถือมาก ผมก็ลุกจากเก้าอี้ให้คุณยายนั่งท่านยกมือไหว้แล้วก็ขอบคุณผมพูดเป็นภาษาท้องถิ่นเหมือนกับทางบ้านผม ขณะนั้นจิตใจผมปลื้มปีติมากผมลืมอ่านหนังสือหันมาสนทนากับยายถามสาระทุกข์สุขดิบ (คุณยายอายุ 72 ปี) พูดเป็นภาษาสำเนียงเสียงท้องถิ่น (ภาษากวย,หรือกูย) ซึ่งผมไม่เคยได้ใช้มานานเกือบ 30 ปี ท่านจะพูดเสียงเบาๆเนิบๆ และออกคำว่า “จ๊ะ จ๊ะ” หลังจบประโยคทุกครั้ง (ท่านอาศัยอยู่กับลูกหลานใน กทม.) มันทำให้ผมคิดถึงบรรพบุรุษของผมสมัยยังเป็นเด็ก ขณะที่ผมคุยกับยายอยู่นั้นผมลืมไปเลยว่าผมอยู่ที่ไหนและพูดอยู่กับใคร ไม่ได้สนใจรอบข้างพอหันไปเห็นคนรอบๆข้างและพยาบาลยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็พอดีคุณพยาบาลในห้องตรวจออกมาเรียกชื่อ เลยละจากการสนทนากับคุณยาย ก่อนที่ผมจะจากไปคุณยายท่านให้พรและก็บอกผมว่า “จีเหยือม โน่ะเดว แซมซาย เน่อะเด้อ” แล้วผมก็จากท่านไป เมื่อผมเข้าไปห้องตรวจสุขภาพคุณหมออธิบายเกี่ยวกับอาการของโรคว่า เป็นภูมิแพ้มานาน ส่วนปอดไม่มีผิดปกติรอตรวจเสลดเสมหะอีกเดือนครึ่งกว่าผลจะออกมาเนื่องจากว่าขณะนี้กำลังเพาะเชื้ออยู่ คุณหมอได้เขียนใบสั่งยาและเพิ่มยาตัวใหม่ให้อีกทั้งยาเม็ดยาพ่นตั้งแต่วันนั้นมาผมก็เข้าโรงพยาบาลสี่ห้าครั้ง ครั้งหลังสุดเมื่อ วันที่ 18 พ.ค. 2558 หมอนัดให้ไปสถานที่สองแห่ง ให้ไปเป่ายาขยายปอดและพ่นยาที่หนึ่ง และไปหาหมอเพื่อดูอาการไออีกที่หนึ่ง วันนั้นผมไปถึงโรงพยาบาล 07.15 น.ไปที่ตึกเป่ายาพ่นยาก่อนนั่งคอยเจ้าหน้าที่จนถึงเวลา 07.45น. เจ้าหน้าที่ก็มาผมถามว่า “ห้องเป่าพ่นยาขยายปอดใช่ไหมครับ?” เจ้าหน้าที่ก็ถามกลับ ว่า “ทำอะไรค่ะ” “เป่าพ่นยาครับ” ผมตอบ หลังจากนั้นอีกประมาณ 15 นาทีเจ้าหน้าที่ก็เรียกเข้าไปเพื่อที่จะทำการเป่าและพ่นยา ผมใช้เวลาในการเป่าเพื่อที่จะให้ได้ผ่านตามเกณฑ์เท่าที่เขากำหนดไว้ เกือบยี่สิบครั้งที่ผมเป่าใช้เวลาชั่วโมงกว่า เพราะว่าผมเป่าไปไอไปด้วยมันช้าตอนที่ผมไอนี่ละครับ หลังจากเป่าเสร็จแล้วเจ้าหน้าที่ก็ยื่นแฟ้มคนไข้ให้ผมและแนะให้ผมอีกตึกหนึ่งเพื่อที่ให้คุณหมอตรวจอาการไอ ผมก็นั่งรถบริการที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้บริการคนไข้ทั่วไป พอมาถึงผมก็ไปยื่นแฟ้มให้คุณพยาบาลที่นั่งคอยบริการหน้าเคาน์เตอร์ เธอก็ถามถึงใบที่หมอนัด ผมก็บอกว่าอยู่ที่ห้องเป่ายาขยายปอด เธอก็ไม่ว่าอะไรแล้วก็ปริ้นมาให้ผมใหม่ ผมก็นำไปให้โต๊ะคุณพยาบาลที่วัดความดันโลหิตและชั่งน้ำหนักแล้วก็รับบัตรคิวคุณพยาบาลบอกว่าหมอบริการเวลา 14.30 น. ให้ผมนั่งรอในขณะนั้นเวลา 09.27 น. ผมก็นั่งอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ถ้าไปที่อื่นหรือไปเดินเล่นกลับมาก็ไม่มีที่นั่งเพราะว่าคนไข้เยอะมากๆบางครั้งนั่งๆไปก็สัปหงกมันหลับครับ เป็นอันว่าวันนั้นผมเป็นคนสุดท้าย ท่านทราบไหมว่าก่อนที่คุณหมอจะตรวจอาการของผมมันเกิดอะไรขึ้น คุณพยาบาลทำแฟ้มผมหาย อลหม่านกันอยู่พักหนึ่งแล้วคุณพยาบาลก็เรียกเข้าห้องให้คุณหมอตรวจตอนเวลา 15.45 นาที ตรวจเสร็จเวลา 16.15 นาที แล้วคุณหมอก็เขียนใบสั่งยาให้ผมก็นำไปที่ช่องจ่ายยา เมื่อผมยื่นใบสั่งยาให้เภสัชก็เกิดปัญหาขึ้นอีกครั้งหนึ่งคุณเภสัชกรไม่สามารถจ่ายยาได้เนื่องจากคุณสั่งจ่ายตัวยาที่เหมือนกันแต่คุณภาพของยาไม่เหมือนกัน ผมต้องนำใบสั่งยากลับมาหาคุณหมออีกครั้งหนึ่งมาถึงห้องคุณหมอไม่อยู่ในห้องปิดมืดสนิท(ขณะนั้นเวลา 16.52น.) ผมนั่งแล้วหายใจเข้าปอดลึกๆประมาณสองสามนาทีแล้วก็ลุกไปหาคุณพยาบาลที่อยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผมยื่นใบเอกสารสั่งยาให้เธอดูแล้วก็เล่าเหตุการณ์ให้เธอฟัง เธอก็แนะนำให้ไปหาหมอเฉพาะทางอีกห้องหนึ่ง ไปถึงผมก็ยื่นเอกสารคุณพยาบาลหน้าห้องแล้วก็เล่าเหตุการณ์ให้เธอฟัง เธอบอกให้ผมนั่งรอก่อน ในช่วงนี้นี่เองที่ผมนั่งกำหนดลมหายใจเข้าออกแล้วทำให้ผมเข้าใจถึงความสำคัญของการ รอ มันมีความรู้สึกว่าสิ่งที่มันเสียๆผุดขึ้นในสมองผมมากมาย ทำยังไงครับ? ก็อดทนซิครับ! อดทนเท่านั้นปัญญาถึงจะเกิดนึกถึงอกเขาอกเราเมื่อก่อนนี้เราก็เคยเป็นผู้ให้บริการแต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใช้บริการบ้าง ก็ต้องรู้เขารู้เรา 18.28 น. คุณพยาบาลนำเอกสารมาให้เรา กุลีกุจอรีบนำเอกสารไปยื่นช่องจ่ายยายืนรอพักหนึ่งเภสัชกรส่งบิลใบเสร็จมาให้แนะให้เราไปช่องการเงินเพื่อชำระค่ายา แต่ว่ามีข้อแม้ว่าต้องมีชื่อขึ้นที่หน้าจอสีเหลืองก่อน นั่งรอดูชื่อต่อ 18.53 น. ชื่อโผล่ขึ้นหน้าจอเหลือง เราก็รีบไปยืนเข้าแถวรอรับยา พอคิวรับยาถึงเราเกิดปัญหาอีกครั้ง อดทนไหมครับ? (ต้องอดทนเพราะชีวิตสังขารของเราจะดำรงอยู่ได้ก็เนื่องด้วยผู้อื่น{หมอ, พยาบาล, เภสัชกร, และยา,}) เภสัชกรบอกว่าถุงยาของผมที่จัดไว้หาไม่พบ (เอาละซิ!) เภสัชกรบอกผมว่ายังไงทราบไหมครับ? เธอบอกว่า “คุณพี่รอเดียวนะค่ะกำลังให้เภสัชจัดให้อยู่” แล้วเธอก็เรียกคนรับยารายต่อไป นั่นหมายความว่าเภสัชกรไม่ได้จัดยาไว้ให้เราเลยยังงั้นหรือ? สักพักหนึ่งเธอก็เรียกผมไปรับยา และอธิบายการใช้ยาแล้วมันมียาตัวใหม่มาให้ใช้ วิธีการใช้คือสูดเข้าคอ ยาตัวนี้ชื่อว่า Seretide Accuhaler รูปร่างของกระปุกบรรจุยาจะเป็นอย่างนี้ครับ
ไอ้ยาตัวนี้วิธีการใช้มันยุ่งยากพอสมควรคุณเภสัชกรต้องบอกวิธีในการใช้นานโขที่เดียวหลังจากเสร็จภารกิจทุกอย่างวันนั้นผมกลับบ้าน เวลา19.42น.
เป็นอันว่าวันนั้นผมกลับบ้านเกือบสองทุ่ม เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความเหนื่อยหน่ายละเหี่ยใจมากไม่นึกว่าเหตุอย่างจะเกิดขึ้น ถ้ามีใครมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็คงทำท้องไม่รู้ร้อน ในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดกับตนเองมันก็ต้องทำใจ ต้องเอาใจเราไปใส่ใจเขาให้มากๆ เพราะชีวิตเราต้องฝากไว้กับโรงพยาบาล อันที่จริงก็น่าเห็นใจบุคลากรทางโรงพยาบาลเช่นกัน เนื่องจากว่าผู้ใช้บริการมากจริงๆ มากกว่าผู้ให้บริการหลายสิบเท่า ความผิดพลาดก็ย่อมมีบ้าง เช่นเดียวกับเราที่บริการในห้องสมุด นี่ถ้าผมไม่เคยอยู่ในห้องสมุดผมก็คงมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลไม่มากก็น้อย กลับถึงบ้านทุกคนเป็นห่วงมาถามถึงเหตุการณ์ว่าทำไมถึงกลับบ้านมืดเราก็ได้บอกว่าเหตุมันสุดวิสัยก็ให้เห็นซึ่งกันและกันปัญหาก็จบ ถึงแม้การ รอ จะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายก็ตามถ้าเอาใจเราไปใส่ใจเขาให้มากๆ ความลำบากก็จะไม่มีอีกต่อไป รอ ร๊อ รอ….