ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม “บุรุษผู้ไร้พ่าย จริงหรอ”

 

jjj

ช่วงเวลาวันว่างอันน้อยนิดของผม (เวลาน้อยจริงๆนะ)ได้มีโอกาส เอนหลังพักผ่อนอยู่บนเตียงนอนพร้อมกับเจ้า “ไข่หงส์” สุนัขแสนกวนโอ๊ยของผม ได้ดูหนังเรื่อง “ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม” เป็นภาพยนตร์ที่อ้างอิงประวัติศาสตร์เกาหลี… เกี่ยวกับยอดแม่ทัพผู้เกรียงไกรในประวัติศาสตร์เกาหลี…กับยุทธนาวีที่เมียงยางในปี1597 นามว่า “ยีซุนชิน” ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ยีซุนชิน ได้ใช้กองเรือแค่ 12ลำ รบเอาชนะ เรือรบญี่ปุ่น 330 ลำ (เก่งอะไรป่านนี้ว่าไหมครับ) โดยยอดแม่ทัพ ยีซุนชิน ได้ใช้ยุทธนาวี อาศัยกระแสน้ำทำให้เรือแล่นเร็วขึ้นพุ่งชนกองหน้าเรือรบญี่ปุ่นไป 30 กว่าลำจมหมด จนที่เหลือต้องหนีไป ไหนจะสร้างเรือเต่ามหาเทพ 1 ลำ บุกเดี่ยวอีก ชั่งเป็นยอดแม่ทัพที่ไม่ใช่แค่เก่งกาจสามารถในด้านการรบเพียงอย่างเดียว ยังมีความสามารถในยุทธนาวีและมีไหวพริบในการแก้ไขสถานการณ์คับขันได้อย่างไรที่ติ จนผมรู้สึกขนลุกจนปลุกต่อม “epinephrine” ในตัวผมให้ตื่นตัวและอยากรู้ว่ายอดแม่ทัพแห่งประวัติศาสตร์เกาหลี…ผู้นี้ กับสมญานาม “ขุนพลคลื่นคำราม” มีความเก่งกาจเหมือนกับในหนังขนาดนั้นจริงหรือไม่

ผมรีบคว้ามือถือคู่ใจกดค้นหาใน Google แล้วลองกวาดสายตาอ่านประวัติและบทวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆของยอดแม่ทัพผู้เกียงไกรผู้นี้ จนเข้าใจว่าแท้จริงแล้วในหนังเรื่อง (ยีซุนชิน ขุนพลคลื่นคำราม) นั้นยอดแม่ทัพนามว่า ยีซุนชิน  เป็นคนที่ที่ถูกยกย่องเกินจริงไปมากครับ ผมจะยกตัวอย่างเรื่องที่ถูก Overrated ของยีซุนชินสักเรื่องที่ผมได้ค้นหาข้อมูล ก็ต้องยุทธนาวีที่เมียงยางในปี 1597 ที่ผมเพิ่งดูจบไป เรื่องมันก็มีอยู่ว่า

ทางฝั่งเกาหลีกล่าวว่า เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ วางกับดักจนเอาชนะญี่ปุ่นที่มีเรือรบมากกว่า30เท่า ทำให้การรุกรานเกาหลีหยุดชะงัก แต่ความจริงแล้วกองเรือญี่ปุ่นกว่า2ใน3เป็นแค่เรือขนส่งครับและเรือที่เข้าปะทะกับยีซุนชิน เอาเข้าจริงเป็นเพียงทัพหน้าที่มีแค่ 30 ลำ การรบที่เกิดขึ้นจริงนั้นจึงเป็นศึกระหว่าง เรือเกาหลีติดปืนใหญ่10 ลำ ปะทะกับเรือรบญี่ปุ่น 30 ลำที่แล่นเข้ามาติดกับดัก หลังจบศึก กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่ได้หยุดชะงักอย่างที่เชื่อกันด้วย ยังคงเดินทัพต่อไปเกือบถึงกรุงโซลได้อย่างสบายๆ แถมยังมีเวลาว่างร่วม 3 เดือน ไปเข้าปล้นมณฑลภาคใต้ของเกาหลีจนเหี้ยน ไร้การขัดขวางจากทั้งทัพบกและทัพเรือเกาหลีก่อนที่จะยกทัพกลับไปมณฑล กยองซานเพื่อไปสร้างป้อมปราการ ตามแผนที่วางกันไว้ตั้งแต่แรก (…..แต่ฝั่งเกาหลีอ้างว่า กดดันจนญี่ปุ่นต้องถอยไปตั้งรับที่กยองซาน) และยังมีอีกเรื่องที่ไม่มีในบันทึกของฝ่ายเกาหลี… ในวันเดียวกับที่ยีซุนชินส่งกองเรืออกรบ จนได้รับชัยชนะที่เมียงยางกองทัพญี่ปุ่นก็ได้ยกทัพทางบก เข้าตีฐานทัพเรือของยีซุนชินที่มณฑลจอลลา ทำให้กองทัพเรือของยีซุนชินที่เพิ่งชนะศึกมาหมาดๆไม่มีฐานปฏิบัติการ ต้องพากันถอยหนีขึ้นไปทางเหนือ เป็นสาเหตุให้ยีซุนชินหายหน้าไปจากการสู้รบนานเป็นปี กว่าจะโผล่มาอีกทีก็ตอนที่ญี่ปุ่นเจรจาถอนทัพนู่นล่ะครับ (เพราะฮิเดโยชิเสียชีวิต) ความเชื่อที่ว่าทัพเรือยีซุนชิน รังควาญสายส่งเสบียงญี่ปุ่นจนทำให้ญี่ปุ่นแพ้นั้น ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียวครับ

นี้แหละครับที่เค้าเรียกว่าภาพยนตร์ (หนัง) อาจจะมีการขัดแต่งกันบ้างเพื่อความสนุก ความบันเทิงหรืออาจแต่งเติมเพื่อปลุก“epinephrine”พลังความรักชาติก็เป็นได้ แบบภาพยนตร์หลายๆเรื่องที่ท่านผู้อ่านเคยได้ผ่านสายตามาบ้างแล้วจริงไหมครับ แต่ที่ผมเขียนในแง่วิเคราะห์ วิจารณ์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าผม anti ในหนังเรื่องนี้นะครับ แต่ผมกลับอยากให้ท่านผู้อ่านลองดูหนังเรื่องนี้ เพราะในเนื้อเรื่องของหนังเองได้สอดแทรกความรู้ยุทธนาวีในสมัยก่อนไว้ได้ไปอย่างดี แล้วยังมีสำนวนคำพูดที่ผมเองชอบมากถึงขนาดสงสัยกับว่าคำพูดที่ตัวของ“ยีซุนชิน”พูดนั้นมันจะเป็นได้อย่างไร จะทำแบบไหนถึงจะได้เห็นความหมายของคำพูดในแบบรูปธรรม ผมดูจนจบเรื่องถึงได้รู้ความหมายของประโยคนั้น นั่นแน่!!!…อยากรู้ใช่ไหมครับว่าคำพูดประโยคนั้น “ยีซุนชิน” พูดว่าอะไร ลองไปหาหนังเรื่องนี้ดูเลยครับจะได้ดูตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบไปเลย เขียนมาเยอะแล้วขอจบแค่นี้แล้วกันนะครับเริ่มเมื่อยคอและล้าสายตาไปหมด ส่วนเจ้า ไข่หงส์ สุนัขสุดโอ๊ย ผมคงต้องหันหน้าไปหามันแล้วถอนหายใจกับเจ้า “ไข่หงส์” พลางเอามือลูบหัวเบาๆ แล้วพูดกับมันว่า ตีน…เหยียบมือ…