ทุก ๆ เช้าเชื่อว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ถ้ามีโอกาสคงจะทำบุญตักบาตรกัน แต่จะทำบุญอย่างไรจึงได้บุญวันนี้มีวิธีการทำบุญมาฝากกันค่ะ
การทำบุญตักบาตรจะสมบูรณ์ได้ ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง
1. ต้องเตรียมใจให้พร้อม เพราะบุญที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของผู้ถวาย ต้องรักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ 3 ขณะ คือ
1.1 ก่อนถวาย ตั้งใจเสียสละ
1.2 ขณะถวาย มีใจเลื่อมใส ถวายด้วยความเคารพ
1.3 หลังจากถวายแล้วยินดีในทานของตน จิตใจเบิกบานเมื่อนึกถึงทานที่ได้ถวายไปแล้ว
2. ผู้รับ คือ พระภิกษุสามเณร เป็นผู้สำรวมมีข้อวัตรปฏิบัติที่ดีงาม ตามพระธรรมวินัย ใฝ่ศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรเทาราคะ โสะ โมหะ จนสามารถละขาดได้ และกล่าวสอนแก่มวลมนุษย์
3. สิ่งของที่ถวาย ต้องได้มาด้วยวิธีที่สุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน และสิ่งของนั้นต้องเหมาะสมกับพระภิกษุสามเณร
ก่อนทำบุญตักบาตร ควรอธิษฐานยกสิ่งของที่จะถวายขึ้นเสมอหน้าผากแล้วอธิษฐานตามที่ต้องการในเรื่องที่เป็นบุญกุศล จากนั้นจึงถวายอาหารบิณฑบาตด้วยความเคารพ ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนให้ถวายหลังจากที่ถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว ถ้าเป็นผู้หญิงให้ถวายดอกไม้ ธูปเทียน บนฝาบาตร เมื่อพระสงฆ์ปิดบาตรแล้ว
การทำบุญที่ถูกต้อง จะได้บุญมากจะต้องทำตาม บุญกิริยาวัตถุ 10 มี 10 ข้อ ได้แก่
1. ทานมัย
2. สีลมัย
3. ภาวนามัย
4. อปจายนมัย
5. เวยยาวัจจมัย
6. ปัตติทานมัย
7. ปัตตานุโมทนามัย
8. ธัมมสวนมัย
9. ธัมมเทศนามัย
10. ทิฏฐุชุกัมม์
วันนี้เราจะมารู้จักกับ ทานมัย กันก่อนนะคะ เพราะทานมัยเป็นบุญเกิดจากการทำทาน ทานที่จะได้ผลมาก ต้องมีพระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ เป็นกรอบ ต้องรู้ว่าอะไรทำทานได้ อะไรทำไม่ได้ เช่น
1. ไม่ถวาย บุหรี่ หมากพลู ยาเสพติด
2. ไม่เอาเงินใส่บาตร บางคนใส่บาตรด้วยเงิน เพราะคิดว่าได้กุศล เพราะเงินสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แต่ตามพระวิจัยแล้วเงินเป็นอนามาสวัตถุ ไม่ควรถวายเงินให้พระ จะทำให้อาบัติ แต่ในปัจจุบันพระสงฆ์มีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเป็นค่าพาหนะ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บ้างตามสมควร เมื่อจะถวายเงินพระก็ตั้งจิตอธิษฐาน (เงินเป็นอนามาสวัตถุ) เพื่อให้พระสงฆ์สามารถใช้จ่ายได้ตามควรโดยไม่ผิดพระวินัย เมื่ออธิษฐานแล้ว ก็ให้ใส่ในย่ามไม่เอาเงินใส่ในบาตร
3. ไม่ถวายผลไม้ที่มีเมล็ด ซึ่งยังไม่ได้กัปปิยะ คือ การทำให้เมล็ดไม่สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้ ถ้าพระฉันผลไม้ที่มีเมล็ดก็จะอาบัติ
กาลิก คือ ของที่พึงกลืนสำหรับพระภิกษะ มี 4 ประเภท คือ
1. ยาวกาลิก หมายถึงอาหารทุกอย่าง รวมทั้ง นม โอวัลติน ไมโล ภิกษะรับอังคาส (ประเคน) แล้ว ฉันได้ตึ้งแต่อรุณขึ้น จนถึงเที่ยงตรง
2. ยามกาลิก หมายถึง น้ำผลไม้ 8 อย่าง (อัฏฐปานะ) รวมทั้ง น้ำผลไม้สังเคราะห์ต่าง ๆ (เว้นน้ำผลไม้ที่มีผลใหญ่ 9 ชนิด คือ ตาล มะพร้าว ขนุน สาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไท แตงโม และฟักทอง) ฉันได้ชั่วยาม หมายถึง ยามสุดท้ายคือหมดเขตเมื่ออรุณขึ้น
3. สัตตาหกาลิก หมายถึง เภาสัช 5 อย่าง คือ เนยส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย (รวมน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลปึก) ภิกษะรับอังคาสแล้ว เก็บไว้ฉันได้ 7 วัน หมดเขตเมื่ออรุณของวันที่ 8 ขึ้น (06.00 น.)
4. ยาวชีวิก หมายถึง ยารักษาโรคต่าง ๆ ทั้งแผนโบราณ แผนปัจจุบัน ภิกษุรับอังคาสแล้ว เก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต
อนึ่ง ถ้ากาลิกทั้ง 4 ปนกันในการอังคาส (ประเคน) จะนับอายุตามกำหนดเวลาของกาลิกที่มีอายุสั้น เช่น
1. น้ำอัฏฐะปานะ กับ อาหาร พระฉันได้เพียงเช้าถึงเที่ยงวัน
2. น้ำผึ้งกับน้ำอัฏฐะปานะ พระฉันได้เพียงวันหนึ่ง คืนหนึ่งภายในก่อนอรุณขึ้น
3. ยารักษาโรคกับน้ำผึ้ง พระเก็บไว้ฉันได้เพียง 7 วัน ดังนั้นควรถวายยา แยากจากของอื่น
คำอธิษฐานก่อนตักบาตร
อิทัง ทานัง สีละวันตานัง ภิกขูนัง นิยาเทมิ สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง นิพพานนะปัจะโย โหตุ
ข้าพเจ้าขอน้อมถวานทานนี้ แด่พระสงฆ์ผู้มีศีลทั้งหลาย ขอทานที่ข้าพเจ้าถวายดีแล้ว จงเป็นปัจจัยให้ถึงพระนิพพานด้วยเทอญ
คำกรวดน้ำ
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนฺตุ ญาตโย
ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจา ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุขกาย สุขใจเถิด
ที่มา : กองอนามัยผู้สูงอายุ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการตักบาตรให้ได้บุญ โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พิมพ์ครั้งที่ 3 2553.