Tag Archives: การดูแลสุขภาพ

สุขภาพดีเพราะมีความสุข

จากผลการสำรวจของ TJWT   เอเยนชำนาญงานด้านการสื่อสารการตลาด  สำรวจไว้พบว่า   ปัจจัยที่สร้างความกังวลใจให้กับชาวโลกมากที่สุด (สำรวจ 27 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย )  คือ  ค่าครองชีพและภาวะการว่างงาน      การสำรวจดังกล่าวน้ีได้มาตรงกับกับการสำรวจของกรุงเทพโพล  ของ เดือนกันยายน  ที่ผ่านมาพบว่าคนกรุงเทพ ฯ ร้อยละ 73.5  กังวลเรื่องปัญหาค่าครองชีพหลังจากรัฐบาลปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม , ค่าไฟ  ,ค่าทางด่วน  , ราคาสินค้าที่แพงขึ้น   และปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมาอีก  เช่นการว่างงาน   ( หลังจากการรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน )

การปรับตัวให้มีความสุขในยุคนี้ทำได้ไม่ยาก   โดยกรมสุขภาพจิตยืนยันว่าคนที่มีความสุขจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเข็มแข็ง   มีความยืดหยุ่นมีมุมมองรอบด้านมากขึ้น    ในขณะที่ความทุกข์ทำให้มีมุมมองที่คับแคบและวกวนอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น    การทำตัวให้มีความสุขทำได้ไม่ยาก   เช่น

1.  การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะทำให้เราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  จะสังเกตเห็นว่าคนป่วยมากมายที่เข้าโรงพยาบาลก็เนื่องมาจากสาเหตุไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน

2. ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและเพื่อน ๆ  บ้างเพื่อพูดคุยหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันอย่างมีความสุข ( เพราะการอยู่คนเดียวทำให้รู้สึกโดดเดียวและเหงาได้)

3. การมองโลกใน่แง่ดีและการออกกำลังกาย  เป็นตัวเสริมทำให้เกิดผลดีต่อจิตใจและสุขภาพอย่างแน่นอน

ที่มา :   คอลัมน์ ประทีปส่องใจ โดย คนสมถะ   นสพ. ไทยรัฐ  ฉบับ วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน   2556  หน้า 10

แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อด้วย Low FODMAPs

อาการอึดอัดแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ล้วนเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต สาเหตุเพราะร่างกายแต่ละคน มีประสิทธิภาพในการย่อยแป้งและน้ำตาลต่างกัน อาหารส่วนใหญ่ที่รับประทานอาจเป็นกลุ่มที่ส่งเสริมให้แบคทีเรียในลำไส้มีปริมาณมากขึ้น เรียกว่า FODMAPs กลุ่มอาหารดังกล่าวนั้นมีอะไรบ้าง เรามีมาบอกค่ะ เพื่อช่วยให้หลีกเลี่ยงและจำกัดปริมาณการกินอย่างเหมาะสม มีสุขภาพที่ดี

กลุ่มอาหาร FODMAPs

1. ฟรุกโตส (Fructose) เป็นน้ำตาลที่มีมากในผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำตาลข้าวโพดชนิเข้มข้น
2. แลคโตส (Lactose) คือน้ำตาลจากนม พบมากในนมสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เช่น โยเกิร์ต ไอศกรีม นมเปรี้ยว
3. ฟรุกแตน (Fructans) ได้แก่ แป้งสาลี กระเทียม หอมใหญ่ แก่นตะวัน
4. กาแลคแตน (Galactans) ใยอาหารชนิดที่ไม่ละลายน้ำ มีมากในถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ชิคพี ถั่วแดง ถั่วเหลือง
5. โพลีออลส์ (Polyols) สารทดแทนความหวานประเภทน้ำตาลแอลกอฮอล์ นิยมใช้ในอุตสาหกรรม เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม ลูกกวาด ไอศครีม ช็อกโกแลตชนิดลดความหวาน
6. ผลไม้เปลือกแข็ง เช่น อาโวคาโด แอบปริคอต ลูกพีช ลูกพลัม

ดังนั้น เพื่อให้การทำงานของระบบลำไส้มีสุขภาพที่ดี จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค หลีกเลี่ยงหรือจำกัดอาหารประเภท FODMAPs เลือกรับประทานเฉพาะอาหารที่เป็นมิตรต่อลำไส้ หรือ Low FODMAPs เพื่อลดปริมาณแบคทีเรียส่วนเกิน โดยรับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลา 6-8 สัปดาห์ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ควรเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการกันนะคะ

ที่มา : healthtoday no.173 September 2015

ปวดหลังล่าง

อาการที่เกิดขึ้นได้กับคนในทุกช่วงวัย พบได้บ่อยในผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไป และเกิดได้จากหลายสาเหตุ ควรสังเกตตัวเองหากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ ซึ่งมี Tip ป้องกันปวดหลังมาฝากค่ะ

1. ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม ไม่อ้วน
2. หลีกเลี่ยงการยกของที่มีน้ำหนักมากเกินไป
3. หลีกเลี่ยงท่าทางที่เสี่ยงทำให้กระดูกและหมอนรองกระดูกบาดเจ็บ
4. เวลายกของจากพื้นควรใช้วิธีย่อเข่าโดยให้ตัวอยู่ชิดกับของมากที่สุด ขณะยกของให้ออกแรงที่ขามากกว่าใช้หลังยก
5. ไม่อยู่ท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น นั่งนานๆ หรือ ก้มตัวนานๆ
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวแข็งแรงและยืดหยุ่นดี
7. ยืดเหยียดร่างกายหลังตื่นนอนตอนเช้าเพื่อยืดหยุ่นข้อต่อ เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อหลัง ช่วยให้ไม่บาดเจ็บง่าย

ที่มา : healthtoday no.170 Jane 2015

หลบแดด เลี่ยงมะเร็ง

ถ้าถูกแสงแดดแผดเผามากๆ รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดจะทำให้เกิดความเสียหายของเซลล์ผิวหนัง เป็นผลให้เกิดมะเร็งได้ เราจึงควรรู้วิธีป้องกัน เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงได้ทัน หากเป็นกรณีที่มีกลุ่มเสี่ยงค่ะ

การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงแสงแดดตอนกลางวัน เพราะเป็นแสงที่แรงที่สุด แม้ว่าจะเป็นในฤดูหนาวหรือในขณะที่มีเมฆครึ้ม
2. ใช้ยาทากันแดดตลอดปี ควรใช้ครีมกันแดดที่มีความสามารถในการกรองแสงแดดมากขนาดเบอร์ SPF15 จะดีมาก
3. ใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่กันแดดได้ ควรเป็นสีเข้ม ไม่ใช่สีขาว ควรสวมหมวกปีกกว้างป้องกันใบหน้าและลำคอ อย่าลืมสวมแว่นกันแดดชนิดที่ป้องกันรังสี UVA และ UVB
4. ไม่ควรเห่อตามฝรั่งในการอบตัวโดยใช้ตะเกียงไฟฟ้าให้ผิวคล้ำ เพราะไม่ดีต่อผิวหนัง

ที่มา : healthtoday no.165 January 2015

77 เคล็ดลับ กับการเพิ่ม 2,000 ก้าว

จากสภาวะการแข่งขันที่เร่งรีบในแต่ละวันกับการทำงานทำให้หลายคนลืมสนใจกับสุขภาพ ดังนั้นวันนี้เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ มาบอกกันกับเรื่องใกล้ ๆ ตัวของเราก็คือการเดินนั่นเอง
การเดินมากขึ้น 2,000 ก้าวจากปกติ สามารถควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นได้
การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในกิจวัตรประจำวันจะช่วยเพิ่มการเดินอีก 2,000 ก้าว หรือเพิ่มระยะเวลาการเดินอย่างน้อย 10 นาทีในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเดินที่บ้าน ที่ทำงาน และช่วงเวลาว่าง จาก 77 เคล็ดลับต่อไปนี้
ที่บ้าน
1. เดินรอบบ้านหรือรอบหมู่บ้าน
2. เดินเลยร้านขายของชำแล้ววกกลับมาซื้อของ
3. ไปโรงเรียนที่อยู่ใกล้แล้วเดินในลู่วิ่งรอบสนาม 4 รอบเท่ากับประมาณ 2,000 ก้าว
4. เดินขึ้น-ลงบันไดหลาย ๆ เที่ยว เพื่อทำงานบ้าน
5. จอดรถไกลจากร้านอาหารหรือธนาคารเล็กน้อยแล้วเดินต่อ
6. ระหว่างรอพบแพทย์หาโอกาสเดินไปมา
7. ฟังเพลงขณะกำลังเดิน
8. ชวนเพื่อหรือสมาชิกในครอบครัวมาเดินด้วยกัน
9. เดินไปส่งลูกที่โรงเรียน
10. พาสุนัขไปเดินเล่น
11. จัดตั้งชมรมเดินในชุมชนของท่าน
12. เดินไปทำธุระที่ร้านค้า ไปรษณีย์ใกล้บ้าน
13. พูดคุยกับครอบครัวระหว่างการเดินหลังอาหารเย็น
14. เดินไปวัด โบสถ์ หรือมัสยิด
15. เดินรอบบ้านขณะคุยโทรศัพท์
16. หาโอกาสเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
17. เดินไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่บ้าน
18. พยายามเดินให้ได้ระยะทางไกล ๆ
19. จดบันทึกจำนวนก้าวและความรู้สึกดี ๆ จากการเดิน
20. เดินบนเครื่องสายพานในวันที่ฝนตก หรือข้างนอกมืดเกินไปที่จะเดิน
21. เดินย่ำเท้าหรือเดินไปเดินมาขณะดูโทรทัศน์
22.เข็นรถเข็นกลับไปคืนร้านค้า หลังจากท่านเก็บของเรียบร้อยแล้ว
23. เข้าร่วมเดินการกุศล
24. เดินก่อนถึงเวลานอน 2-3 ชั่วโมงจะช่วยให้หลับสนิท

ที่ทำงาน
25. เดินในที่ทำงานก่อนจะเริ่มทำงานในตอนเช้า
26. ลงรถประจำทาง ก่อนถึงที่หมาย 1-2 ป้าย แล้วเดินต่อไป
27. เดินไปทำงานถ้าที่พักอาศัยอยู่ไม่ไกล
28. เดินไปชงกาแฟจากจุดที่อยู่ไกลโต๊ะทำงานที่สุด
29. เดินเข้าห้องน้ำที่อยู่อีกฟากหนึ่งของตึก
30. เดินระหว่างพักการประชุม
31. เดินเร็ว ๆ 10 นาทีช่วงพักกลางวัน
32. ขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์และบันไดเลื่อน
33. จอดรถไว้ไกล ๆ ในที่จอดรถ
34. ออกไปเดินสัก 4-5 นาทีเพื่อคลายเคลียด
35. เดินไปร้านค้าใกล้ ๆ เพื่อซื้อของ
36. จัดตั้งชมรมเดินในที่ทำงาน
37. ชวนเพื่อนร่วมงานไปเดินก่อนทำงานและหลังเลิกงาน
38. เดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะแทนที่จะโทรศัพท์หรือส่งอีเมล์
39. กระตุ้นเพื่อนร่วมงานไปร่วมเดินกับท่านช่วงเวลาหยุดพัก
40. เดินรอบที่ทำงาน

ช่วงเวลาว่าง
41. เดินดูสินค้าตามร้านต่าง ๆ ภายในศูนย์การค้า
42. เดินดูให้รอบศูนย์การค้าก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
43. เข้าร่วมกลุ่มการเดินหรือแอโรบิกในน้ำ แรงต้านของน้ำจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
44. เดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ หรือ อุทยาน
45. เดินวนรอบ ๆ งานแสดงสินค้าก่อนจะตัดสินใจซื้อ
46. เริ่มด้วยการเดินช้า ๆ แล้วเพิ่มความเร็วขึ้นตามที่ต้องการ แล้วผ่อนหยุดด้วยการเดินช้าๆ ในช่วงท้ายของการเดิน
47. ร่วมกิจการเดิน/วิ่งของชุมชน
48. ท่องธรรมชาติด้วยการเดิน
49. หาเส้นทางเดินใหม่ ๆ เพื่อสำรวจทิวทัศน์ที่แปลกออกไป
50. เดินท่องเที่ยวโบราณสถาน
51. จัดวันทำความสะอาดชุมชนร่วมกัน
52. อาสาสมัครพาผู้สูงอายุเดินเที่ยว
53. นัดเพื่อนกินอาหารกลางวันที่ร้านที่สามารถเดินไปได้
54. เดินหาสินค้าราคาถูก บริเวณตลาดนัดใกล้บ้าน
55.เดินไปเที่ยวชุมชนใกล้เคียง
56. เดินส่องกล้องชมนก
57. เข้าร่วมกลุ่มเต้นแอโรบิก
58. ไปเที่ยวชายทะเลและเดินไปตามชายหาด
59. เล่นกีฬาที่ชอบ
60. ให้รางวัลตัวเองเมื่อเดินได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
61. เดินรอบสนามขณะลูกเล่นกีฬา
62. เดินออกรอบตีกอล์ฟโดยไม่ใช้รถกอล์ฟ
63. เดินไปสวนสาธารณะกับลูก
64. ออกกำลังกายที่ชอบ

กิจกรรมอื่น ๆ
65. เต้นรำยามค่ำคืนในคลับ
66. ล่องแพ พายเรือคายัค หรือแคนู
67. ขี่จักรยานท่องเที่ยวหรือไปทำธุระ
68. เล่นสเกตแถวบ้าน
69. กายบริหาร เช่น ฝึกซี่กง ไทเก็ก ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
70. รำไม้พลองป้าบุญมี
71. เรียนมวยไทยแอโรบิก
72. กำจัดวัชพืช พรวนดินด้วยจอบ คราด ตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดหญ้า
73. ว่ายน้ำในสระ
74. ดำน้ำชมปะการัง
75. สลับทิศทางการเดิน – เริ่มเดินจากจุดสิ้นสุดไปหาจุดเริ่มต้นแทน
76. เล่มเกมไล่จับรีรีข้าวสาร งูกินหาง มอญซ่อนผ้ากับลูก
77. ล้างรถด้วยตนเอง

เคล็ดลับง่าย ๆ และทำได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อนๆ เลือกทำให้เหมาะกับสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกายนะคะ เท่านี้ก็ทำให้มีสุขภาพดีและควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

ที่มา : กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

สุขภาพดีทำได้ด้วยตัวเอง

“อโรคยา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

หากสุขภาพกายเจ็บป่วยส่งผลทำให้สุขภาพจิตเจ็บป่วยตามไปด้วยและคุณภาพชีวิตก็จะลดน้อยถ้อยลง

การเจ็บป่วยสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยไม่มีการเลือกวัน เวลา สถานที่ แม้บางครั้งจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดีก็ตาม

มีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ  ซึ่งในหนังสือเล่มนี้จะสอนวิธีการบริหารร่างกายในแบบง่าย ๆ ใช้เวลาในการบริหารร่างกายไม่นานที่ทุกคนสามารถทำได้แม้ขณะนั่งทำงาน ช่วงพักกลางวันหลังทานข้าวและหลังเลิกงาน

หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า  “สุขภาพดี All in office”  โดยมี ดร. ปทัตตา ภริตาธรรมะ เป็น บก. เรียบเรียง

112

ลองหาอ่านได้นะคะ เพื่อสุขภาพกายที่ดีของตัวคุณเอง ที่ไม่สามารถหาซื้อกันได้ในท้องตลาด  แต่ทำได้ด้วยตัวเอง

รายการอ้างอิง
ปทัตตา ภริตาธรรมะ บรรณาธิการเรียบเรียง.  สุขภาพดี All in office. กรุงเทพฯ : แพรธรรม, 2555.

6 ประโยชน์ดีๆ ของการตื่นเช้า (ที่คุณอาจคาดไม่ถึง)

ร่างกายของเรานั้นเสมือนมีนาฬิกาชีวิตซ่อนอยู่  ซึ่งเป็นตัวกำหนดจังหวะเวลาในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ  ซึ่งคนตื่นเช้าจังหวะชีวิตก็จะต่างจากคนตื่นสาย  ทำให้คนตื่นเช้าเป็นประจำจะได้ประโยชน์ดีๆในชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมากมายค่ะ  ลองมาดูกันนะคะว่ามีอะไรบ้าง ^_^

  1. คนตื่นเช้ามีแนวโน้มแฮปปี้มากกว่า
    คนที่นอนเร็ว ตื่นเข้า จะสามารถควบคุมการใช้ชีวิตในช่วง 09.00- 17.00 น.ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพกว่า มีอารมณ์ดี มีความสุขกว่าเยอะเลยค่ะ
  2. คุณภาพของงานดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    คนที่นอนเร็วตื่นเช้าพักผ่อนเพียงพอ จึงมีสมองและร่างกายที่พร้อมรับข้อมูลข่าวสาร และสามารถประมวลผลได้ดีกว่านั่นเอง
  3. สมองปลอดโปร่ง พร้อมรับทุกสถานการณ์
    คนที่ตื่นเช้าได้กำไรชีวิตมากกว่าเห็นๆ รับอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้า  จะมีสมองที่ปลอดโปร่ง  ร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีกว่า
  4. พัฒนาทัศนคติด้านดี
    ตื่นเช้า สมองพร้อม  มีกระตือรือร้น ส่งผลให้สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆที่พบเจอได้อย่างชาญฉลาด  สุขุม  และมีทัศนคติที่ดีต่อปัญหา
  5. ชีวิตโดยรวมจะดีขึ้นมาก
    อย่างน้อยเราก็มีเวลาทำสิ่งดีดีในตอนเช้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย  ทานอาหารเช้า  ทำบุญใส่บาตร  เป็นต้น ใช้ชีวิตอย่างมีระบบระเบียบกว่าที่ที่เคยเป็น  ไม่ต้องเร่งรีบ  และมีเวลาใช้ชีวิตที่มากขึ้นอีกด้วย  หรืออย่างน้อยๆเราก็ได้เห็นภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามเป็นประจำทุกวัน  ที่สำคัญสำหรับคนในเมืองกรุงจะได้เห็นถนนที่โล่งๆและการจราจรที่ไม่ติดขัดอย่างตอนสายสบายใจสุดๆ
  6. ลดความเสี่ยงเรื่องโรคซึมเศร้า
    เมื่อร่างกายพักผ่อนเพียงพอ  ระบบต่างๆจะทำงานปกติสุขภาพร่างกายดี ไม่เจ็บไข้  สุขภาพใจก็จะรื่นรมย์ตามมา  ทำให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้ารายการอ้างอิง
    6 ประโยชน์ดีๆของการตื่นเช้า ที่คุณคาดไม่ถึง!! สืบค้นเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2558 จาก http://hot.ohozaa.com/hot-5-15-120837

ดูแลดวงตา ชลอความเสื่อมก่อนวัย

6882353_xl
http://lasik-thai.blogspot.com/2011/02/blog-post_6261.html

 

 

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ สื่อความหมายหลายๆ อย่าง ในแต่ละวันเราใช้สายตาของเราหนักมาก ในการทำงาน ในการอ่านหนังสือ ในการดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ และแม้แต่การบอกความหมายบางอย่างที่แสดงออกมาดวงตา  เราจึงควรที่จะถนอมดวงตาของเราให้มีความสดใส และมีสุขภาพตาที่ดีอยู่เสมอ จากเว็บไซต์ของกรมประชาสัมพันธ์ โดยคุณชัชพร ศฤงคารจินดา ได้กล่าวถึง การดูแลดวงตาอย่างถูกวิธีอย่างง่ายๆ 8 วิธีดังนี้ค่ะ

  1. ควรใช้สายตาในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และหลีกเลียงการเพ่งมองเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดตาได้
  2. ควรสวมแว่นตากันแดดทุกครั้งที่อยู่ในที่มีแสงจ้า
  3. ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือสกปรกขยี้ตา หรือใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า เพราะอาจจะมีเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผ้าเช็ดหน้า ทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้
  4. กรณีที่ใช้สายตานาน ๆ เช่น อ่านหนังสือ ก็ควรหาช่วงพักผ่อนสายตา ด้วยการทอดสายตาออกไปไกล ๆ หรือมองต้นไม้สีเขียวบ้าง
  5. การนอนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการพักผ่อนสายตาที่ดี
  6.  

    การแต่งหน้าอาจทำให้เกิดถุงใต้ตาและรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย เนื่องจากเนื้อครีมเข้มข้นอาจใช้แรงกดในการทา ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ ดังนั้น จึงควรหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติบำรุงผิวหน้าและผิวรอบดวงตาโดยเฉพาะ โดยเลือกเนื้อครีมที่บางเบา ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง

  7. ถ้าดวงตาเกิดอาการบวมแดงหรือดูอิดโรยไม่สดใส ให้ใช้สำลีชุบน้ำเย็นหรือผ้าห่อน้ำแข็ง มาวางไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้อาการดีขึ้น
  8. บริหารดวงตา โดยการกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลม เริ่มจากตามเข็มนาฬิกาครบหนึ่งรอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา ทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ กัน วันละ ๒ – ๓ ครั้ง หรือนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก แล้วใช้แตงกวาฝานเป็นชิ้นบาง ๆ นำมาแปะไว้บนเปลือกตาทั้งสองข้าง เมื่อลืมตาขึ้นมาจะทำให้ดวงตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น

ลองปฏิบัติดูนะคะ

รายการอ้างอิง
ชัชพร ศฤงคารจินดา. ดูแลดวงตาอย่างถูกวิธี ช่วยชะลอความเสื่อมก่อนวัย. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2558 จาก http://pr.prd.go.th/samutprakan/ewt_news.php?nid=2132&filename=index

ประสบการณ์ลดน้ำหนัก โดยไม่พึ่งยา 5

-ไม่ได้กินยาลดน้ำหนัก กลัวมันจะทำให้โยโย่

-เรามีเป้าหมายจะลดให้ได้ 50 แต่แม่ที่บ้านบอกให้พอ
-อยากให้ทุกคนสู้ คือเราลดได้ทุกคนก็ลดได้ เชื่อดิ
-นิสัยส่วนตัวเราคือชอบกินจุกจิก ชอบน้ำอัดลม ขนม เค้ก
-การลดของเราเน้นการควบคุมอาหารนะ ออกกำลังกายเป็นรอง

-การลดน้ำหนักอยู่ที่ใจสุดๆเลย

-เคล็ดลับในการลดน้ำหนักที่ได้ผลและทำให้เกิดแรงใจ ให้เอารูปคนดังที่คุณชอบ มาแปะเอาไว้ หรือตั้งเป็นหน้าจอคอม มือถือเลยค่ะ
แล้วท่องว่าฉันจะต้องดูดีแบบนี้ …ฉันจะต้องดูดีแบบนี้ ..ดูดีแบบนี้ …แบบนี้

-การออกกำลังกาย 30% ควบคุมปาก 70%

-ลดน้ำหนักไม่มีทางลัด อยากหุ่นดีต้องมีวินัย มีวิธีเดียวคือ อดทนทำให้ได้
-ขอบคุณเพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจ
-หลังจากลดน้ำหนักสำเร็จ คุณจะรู้สึกรักตัวเองมากขึ้น มีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้นถึง 70% เลยล่ะค่ะ

สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนลดน้ำหนักได้อย่างที่ตั้งใจ สวยหล่อกันถ้วนหน้านะคะ

1       IMAG0058

ประสบการณ์ลดน้ำหนัก โดยไม่พึ่งยา 4

ถึงเดือนที่ 6 ในการลดน้ำหนัก ตอนนี้เริ่มมีคนทักมากขึ้น เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า เป็นโรคอะไร ไปทำอะไรมา ถึงได้ผอมขนาดนี้ บางคนก็กล้าๆกลัวๆไม่กล้าถาม มองแล้วมองอีก ใช่คนเดิมหรือป่าว บางคนไม่ทักเลย อ้าว! ส่งยิ้มไปเขาไม่ยิ้มตอบ มองแบบไม่รู้จักกันมาก่อน เราเอ๋อไปเลย คือ…แบบว่าตั้งแต่อยู่ห้องสมุดมาไม่เคยผอม ช่วงเดือนที่ 6 นี้ กินไม่ค่อยตรงตามสูตร ติดกินปีใหม่สำนัก

กินปีใหม่ที่บ้าน บลาๆ 5 วันจัดเต็ม กลับมาน้ำหนักอยู่ที่ 52 กิโลกรัม กะว่าจะเริ่มสูตรใหม่ พอเริ่มวันที่ 1 ที่ต้องกินไข่ต้ม ปรากฏว่าปวดท้องมาก ยังไม่คิดอะไร ต่อสูตรวันที่ 2 มีไข่ต้มอีก ก็ปวดท้องอีก เลยคิดว่าควรต้องพอแค่นี้ ร่างกายคงจะรับไม่ไหว แม่และเพื่อนๆลงความเห็นว่า แค่นี้ก็โอเคแล้ว สรุปหยุดการลดน้ำหนัก น้ำหนักอยู่ที่ 52 กิโลกรัม หลังจากนั้นก็กินอาหารตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงขนมหวานที่เคยชอบมาก ขนมปังที่กินได้ทั้งวัน หรือตอนเย็นจัดหนัก เปลี่ยนพฤติกรรมมากิน โยเกริต์ ส้มตำ สลัดผัก ส่วนตอนเย็นห้ามจัดหนัดนะกินอาหารเบาๆค่ะ

รูปปัจจุบัน น้ำหนัก 53.5 กิโลกรัม

IMAG0058