All posts by นางสาวนฤมล คำสม

เก่งภาษา 50 ล้าน

แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว  เพราะโดยปกติเราคงไม่สามารถจินตนาการได้ว่า  การที่เราเก่งภาษาจะไปเกี่ยวกับการมีเงิน 50 ล้านได้อย่างไร12325203_10200944112682717_413742695_n

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคุณบัณฑิต และคุณแมรี่ อึ้งรังษี  บอกเล่าเรื่องราวอีกมุมนึงของการฝึกภาษาที่มากกว่าภาษาที่ 2 ไปจนถึงภาษาที่ 3,4 หรือ 5 ด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง ในระยะเวลาอันสั้น และยังเป็นวิธีที่เราสามารถทำได้ในทุกๆวัน

Continue reading เก่งภาษา 50 ล้าน

การันตี…สำเร็จพูดอังกฤษได้ใน 1 เดือน

หนังสือที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรง ของคนที่เตยท้อว่าชาตินี้คงพูดภาษาอังอังกฤษไม่ได้แน่  ผู้เขียนคือ คุณสมชาย พงศ์สราญ  โดยแนวคิดหลักของหนังสือเล่มนี้  มีแค่ “ฟังมากพอ….พูดชัดเอง”
9786163829917

จากแนวคิดหลักของหนังสือนี้นี่เอง ที่ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือจะเน้นไปที่หลักของการฟัง  อย่างเช่น เราสามารถหาแหล่งการฟังภาษาอังกฤษได้จากที่ไหน  การฟังที่ดีและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร  และการฟังจะช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้านอื่นๆได้อย่างไร

Continue reading การันตี…สำเร็จพูดอังกฤษได้ใน 1 เดือน

ฉันเปลี่ยนเพราะเขียนเป้า

“ฉันเปลี่ยนเพราะเขียนเป้า” เป็นชื่อหนังสือที่เขียนโดย คุณบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ นักเขียนที่ถือได้ว่า เป็นเจ้าพ่อของหนังสือแนวการใช้จิตวิทยามาประยุกต์กับชีวิตประจำวันเพื่อสร้างแนวคิดไปสู่ความสำเร็จ

middle

หนังสือเล่มนี้ แบ่งออกเป็นสองเล่มย่อย คือ เล่มหลักที่ประกอบไปด้วยเนื้อหาและวิธีการต่างๆ สำหรับคนต้องการหาว่าเป้าหมายในชีวิตของตนคือ อะไร แล้วทำไมเราต้องมีเป้าหมาย  โดยจุดเด่นที่นำมาใช้เรียกความน่าสนใจของหนังสือก็คือ 7 วิธีเปลี่ยนเป้าหมายของคุณให้กลายเป็นจริง

ส่วนหนังสืออีกเล่มที่ให้มาเป็นเล่มย่อยนั้น มีขนาดไม่หนามาก คล้ายตั้งใจให้เหมือนสมุดที่เราจะใช้ทำแบบฝึกหัดตามคำบอก หรือไว้จดเนื้อหาที่ได้จากการอ่านเล่มหลักก็ได้

อ่านจบแล้วได้อะไร: สารภาพว่า ซื้อมาเพราะถูกใจชื่อเรื่อง และเป็นแฟนหนังสือของคุณบอยโดยเข้าใจว่าหนังสือก็คงคล้ายกับเล่มก่อนๆ แต่เมื่ออ่านดูก็จะรู้ว่า เล่มนี้จะพิเศษตรงที่มีสมุดอีกเล่มที่ใช้ควบคู่ไปกับการอ่านเหมือนกับว่าไม่ใช่แค่อ่านอย่างเดียวแต่เหมือนว่าเราได้ลงมือปฏิบัติไปด้วยทำให้เราเข้าใจทฤษฎีกว่าเดิม  โดยทั้งนี้ยังให้แนวคิดใหม่อีกด้วยว่า การมีเป้าหมายที่ดีสำคัญพอๆกับการมีวิธีปฏิบัติที่จริงจังและเหมาะสม

น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ไม่มีในห้องสมุดแต่ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปค่ะ

ที่มา

สืบค้นเมื่อวันที่ 30 พ.ย.58 https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=26531

น้ำมหัศจรรย์

น้ำมหัศจรรย์ในที่นี้ ไม่ใช่น้ำที่ถูกปลุกเสกจากเกจิอาจารย์ชื่อดังนะคะ แต่เป็นแค่น้ำเปล่าธรรมดาๆ ที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี่แหล่ะค่ะ

มหัศจรรย์ยังไง????

ทุกคนคงทราบดีค่ะ ว่าใน 1 วันเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือ ประมาณ 1-2 ลิตรต่อวัน เพราะร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% และการดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะช่วยให้เรามีนัยน์ตาสดใส เป็นประกาย  ผิวไม่เหี่ยวย่น ระบบขับถ่ายดี เลือดไม่ข้นไหลเวียนเป็นไปได้ง่าย หัวใจจึงไม่ทำงานหนัก และที่สำคัญคือทำให้สมองสดชื่นแจ่มใส

โดยการดื่มน้ำที่ถูกต้องไม่ใช่การดื่มเข้าไปรวดเดียว 2-3 แก้วนะคะ แต่ต้องค่อยๆดื่มในระหว่างวัน  แต่ถ้ายังไม่เห็นภาพว่ามหัศจรรย์อย่างไร ขอนำเสนอเรื่องราวของหญิงชาวอังกฤษ ที่แค่ 1 เดือน กับการดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับเธออย่างเห็นได้ชัด

รายงานนี้ได้รับการเปิดเผยเมื่อเดือนตุลาคมปี 2013  ซาร่าห์ สมิธ หญิงชาวอังกฤษวัย 42 ปี ที่ต้องเผชิญกับอาการปวดหัวและอาหารไม่ย่อยมานาน เธอดูเหมือนคนอายุ 52 ปี เพราะรอยคล้ำใต้ตาและดูเหนื่อยล้า อีกทั้งยังมีรอยเหี่ยวย่นและรอยแดง ๆ บนใบหน้า ผิวขาดความชุ่นชื้น

drink water

แต่หลังจากเธอไปพบแพทย์ซึ่งนักประสาทวิทยาและนักโภชนาการให้เธอทดลองดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เป็นเวลา 1 เดือน เพื่อให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งผลที่ได้ก็คือนอกจากระบบในร่างกายจะดีขึ้นแล้ว การดื่มน้ำยังส่งผลให้ผิวพรรณที่ทำให้เธอดูเด็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ

รู้ว่าน้ำเปล่ามหัศจรรย์อย่างนี้ อย่าลืมหาน้ำมาจิบระหว่างวันด้วยนะคะ

ที่มา:

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี. สืบค้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2558 จาก http://www.prapot.com/healthy/การดื่มน้ำที่ถูกวิธี

ASTVผู้จัดการออนไลน์. 7 วิธีดื่มน้ำให้ “สวย-หล่อ-ใส-สุขภาพดี” สืบค้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2558 จาก http://www.manager.co.th/qol/viewnews.aspx?NewsID=9570000001232

มาดู…ดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร ใน 1 เดือน เปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ สืบค้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2558 จาก  http://health.kapook.com/view87098.html

เบื่องาน เป็นเพราะ Burnout Syndrome หรือเปล่า?

หลายคนอาจจะคิดว่า ป็นเรื่องธรรมดา แต่จริงๆ แล้วเราอาจจะกำลังอาการที่เรียกว่า “Burnout Syndrome” อยู่ก็ได้ โดยอาการดังกล่าวนี้ สามารถพัฒนาไปสู่โรคซึมเศร้าได้เลยทีเดียว

โดย  Burnout Syndrome เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการทำงานหนักมากจนเกินไปและพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ความสนใจในงานที่ทำรวมทั้งประสิทธิภาพในการทำงานลดลง นอกจากนี้ภาวะความเครียดเรื้อรังก็สามารถทำให้เป็นโรคดังกล่าวได้    โดยด็อกเตอร์ David Ballard นักจิตวิทยาแห่งสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าสาเหตุของโรคนี้มาจากการที่ความสามารถในการรับมือกับความเครียดไม่ดีพอนั่นเอง ทั้งนี้โรคนี้ก็สามารถรักษาได้หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ การที่คุณปล่อยปละละเลยกับอาการจิตเวชนี้สามารถส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งในด้านสุขภาพ ความสุข ความสัมพันธ์ และประสิทธิภาพในการทำงาน และอาจส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าที่มีความอันตรายมากกว่าอีกด้วย

วิธีสังเกตอาการ “Burnout Syndrome”  มีดังนี้ค่ะ

  1. อ่อนเพลีย
  2. ขาดแรงจูงใจ
  3. อารมณ์ร้าย มองโลกในแง่ลบ
  4. ไม่มีสมาธิ
  5. ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  6. มีปัญหากับที่บ้านหรือที่ทำงาน
  7. ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
  8. หมกมุ่นอยู่กับการทำงานแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่ทำงานก็ตาม
  9. มีความสุขน้อยลง
  10. สุขภาพย่ำแย่

ส่วนวิธีการรักษาก็ง่ายมากๆ ค่ะ แค่พักผ่อนให้เพียงพอ จัดระเบียบชีวิตใหม่ หากิจกรรมคลายเครียด หรือลองระบายความเครียดกับเพื่อนหรือครอบครัว แค่นี้เราก็จะไม่ต้องทนกับอาการ “Burnout Syndrome”  อีกต่อไป ยังไงสังเกตตัวเองแล้วก็อย่าลืมสังเกตและเอาใจใส่เพื่อนร่วมงานด้วยนะคะ เพื่อสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานที่ดีค่ะ

ที่มา:

10 สัญญาณเงียบโรค Burnout Syndrome เบื่องาน หมดไฟ ใช่เลย !  จาก http://health.kapook.com/view115801.html

ทำสิ่งที่รักยังไงก็รุ่ง

TamSingTeeRak1

จากปลายปากกาของบัณฑิต อึ้งรังสี คอนดักเตอร์ชาวไทยที่โด่งดังระดับโลก เรื่องราวในหนังสือสะท้อนแนวคิดและมุมมองของคุณบัณฑิต และคนดังในระดับโลกอีกหลายๆคน ที่มีต่องานของเขาเอง โดยทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้เลือกงานที่ความรัก ไม่ใช่เลือกที่เงิน เพราะการถ้าเรารักงานที่เราทำ ทุกวันจะเหมือนว่าเราไม่ได้ทำงานเลย ส่วนเงินทอง และชื่อเสียงจะตามมาเอง  โดยหนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 3 พาร์ท เหมือนการตั้งคำถามตัวเองง่ายๆ ว่า why  what และ how

ขอยกตัวอย่างบทที่ชอบที่สุดมาให้ลองอ่านดูนะคะ อยู่ในหมวด why ที่ 14 เรื่อง ความมั่นคงที่แท้จริง

ใจความคือ คำว่า ความมั่นคงในการงาน เป็นคำที่ล้าสมัยแล้ว เพราะ ในสมัยนี้ ใครๆ ก็สามารถถูกไล่ออกได้แม้คุณทำงานมาเป็นสิบๆปี ดังนั้น ยังไงๆ ก็ไม่มีงานที่ปลอดภัย 100 % แล้วถ้าทุกงานไม่มั่นคงเหมือนกันหมด ก็ให้เลือกงานที่อยากทำที่สุดสิ พร้อมทั้งคำคมจาก ดร.โรเบิร์ต แอนโทนี่ นักเขียนแนวจิตวิทยาความสำเร็จ ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต คือการไม่เสี่ยงเลย”

นี่เป็นเพียง 1 ตัวอย่างจาก 1 ใน 50 บท ของหนังสือเล่มนี้นะคะ ถ้าสนใจสามารถยืมที่ห้องสมุดได้นะคะ  Call no. คือ BF 481 บ63 ค่ะ

ที่มา

บัณฑิต อึ้งรังษี. (2553). ทำสิ่งที่รัก– ยังไงก็รุ่ง. สมุทรสาคร : บริษัท รังษีอินเตอร์เทรด จำกัด.

Pro.Trainer.  “บัณฑิต อึ้งรังษี” เปิดใจให้คนไทยฟังอีกครั้ง..ทำไมต้องสวนกระแสสังคม ???  สืบค้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2558 จาก http://www.oknation.net/blog/chaiyospun/2010/04/24/entry-2

หนังยางล้างใจ ล้างยังไง?

หนังยางล้างใจ เป็นชื่อหนังสือค่ะ จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ที่ผู้เขียนต้องการบอกคือ เป็นสุดยอดเทคนิคเปลี่ยนชีวิตใน 21 วัน ด้วยหนังยางเส้นเดียวที่แถมมากับหนังสือ

feb6c8e515_10492076-787704781273633-5797987648940783548-n

รายละเอียดของหนังสือ ISBN : 9786167752280 (ปกอ่อน) 256 หน้า สำนักพิมพ์ : สต็อคทูมอร์โรว์, สนพ. เดือนปีที่พิมพ์ : 6/2014

งานเขียนของนักเขียนระดับ Best seller คือ คุณบอย วิสูตร แสงอรุณเลิศ ผู้เขียนหนังสือ “ งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า” โดยกว่าที่คุณบอยจะมาเป็นนักเขียนที่โด่งดังได้นั้น คุณบอยได้ผ่านประสบการณ์การทำงานมากมาย ทั้งแต่งเพลง ไปจนกระทั่งขายตรง ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง แต่เมื่อคุณบอยได้ค้นพบวิธีเปลี่ยนความคิดเพื่อที่จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามา ชีวิตของคุณบอยก็เปลี่ยนไป นี่เป็นส่วนหนึ่งจากด้านหลังหนังสือคุณบอย

“ถ้าคุณอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ถ้าคุณอยากได้งานในฝัน ถ้าคุณอยากมีรักที่สมหวัง ถ้าคุณอยากมีความสุขทางจิตใจ ถ้าคุณกำลังตกหล่มหลุมชีวิต และอยากจะขึ้นมา หรือถ้าคุณมีชีวิตที่สุดยอดอยู่แล้ว แต่อยากสุดยอดขึ้นไปอีก…หนังยางล้างใจ…เล่มนี้ ช่วยคุณได้!”

หนังสือเล่มนี้ มี concept ง่ายๆ เหมือนหนังสือ How to ทั่วไป คืออ่านแค่วันละบทแล้วทำตามคำแนะนำ แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น และเป็นจุดขายของหนังสือ คือ การนำเอา “21-Day Habit Theory” มาใช้

ทำไมต้อง 21 วัน

เทคนิคง่ายๆ ในการทำตามทฤษฎีนี้ คือให้อุทิศเวลาอย่างน้อย 15 นาทีต่อวัน ในการกระทำที่เสริมสร้างนิสัยที่ต้องการ และทำต่อเนื่องจริงจังทุกวันเป็นเวลา 21 วัน จะเป็นนิสัยแบบใดก็ได้ ตั้งแต่เรื่องของสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย ไปจนถึงเรื่องทัศนคติเช่นการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้และมุมมอง การนำเอาประสาทสัมผัสหลากหลายมาร่วมด้วย จะทำให้บรรลุผลได้ดียิ่งขึ้นด้วย

ซึ่งการกระทำที่เสริมสร้างนิสัยที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ คือ การฝึกการคิดบวก โดยมีอุปกรณ์ช่วยคือ หนังยางใส่ไว้ที่ข้อมือ หากว่าเราคิดลบ ก็ให้เตือนตัวเองด้วยการดีดหนังยางที่ข้อมือทันที ฟังดูเหมือนง่าย แต่ที่จริงแล้วต้องใช้สมาธิอย่างมาก เพราะต้องตามความคิดให้ทัน ว่าตอนนี้ ตัวเราคิดอะไรอยู่ ทั้งนี้ในหนังสือยังประกอบด้วยข้อคิดให้กำลังใจ และประสบการณ์จากผู้ทดลองฝึกจากหนังสือเล่มนี้อยู่มากมาย

น่าเสียดายที่หนังสือเล่มนี้ยังไม่มีในห้องสมุดของเรา แต่ยังมีหนังสือคุณบอยเล่มอื่นอยู่ ยังไงถ้าสนใจเปลี่ยนแนวคิดเพื่อดึงดูดพลังบวก ยังไงอย่างลืมไปหาอ่านกันนะคะ

ที่มา

วิสูตร แสงอรุณเลิศ.  (2014).  หนังยางล้างใจ  กรุงเทพฯ: สต็อคทูมอร์โรว์.

นิตยา นีรนาทโกมล. ทำไมต้อง 21 วัน. สืบค้นเมื่อวันที่่ 26 เมษายน 2558 จาก http://www.upperknowledge.com/ArticleDetail.aspx?id=63

โรคกระดูกพรุนกันไว้ดีกว่าแก้

เมื่อพูดถึงโรคกระดูกพรุนแล้ว สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นโรคที่ไกลตัวแล้วก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเราง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วเราทุกคนต่างมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป และมีโอกาสที่จะเกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะผู้หญิงมีความหนาแน่นของมวลกระดูกน้อยกว่าผู้ชายนั่นเอง  แต่ที่น่าตกใจกว่าก็คือ โรคกระดูกพรุนจะไม่มีอาการเตือนใด ๆ จนกระทั่งมันก่อเรื่องไปแล้ว โดยส่วนมากผู้ที่เป็นมักจะมาพบแพทย์ด้วยการหกล้มหรือกระแทกไม่รุนแรงแต่เกิดกระดูกหัก หรือมาพบแพทย์เพราะมีปัญหาว่าตัวเตี้ยลง หลังค่อมหรือหลังโกงว่าเดิม ซึ่งมักจะพบได้ในกรณีที่เป็นกระดูกพรุนและเกิดการหักชนิดทรุดตัวของกระดูกสันหลัง

ส่วนสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนนั้น มีหลายปัจจัย เช่น การออกกำลังกายน้อย หรือ ดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เป็นต้น

เมื่อเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เราจะเป็นโรคกระดูกพรุนเมื่อไร จนกว่าจะไปตรวจกับคุณหมอ วิธีการที่ดีที่สุดคือการป้องกันไว้ก่อน ทำได้ดังนี้

  1. การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้หกล้ม

เป้าหมายของการรักษาโรคกระดูกพรุน ก็คือ การป้องกันการแตกหักของกระดูก ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดกระดูกหักได้บ่อยที่สุด ก็คือ การหกล้ม ดังนั้นที่อยู่อาศัยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนควรจัดการเรื่องแสงสว่างให้เพียงพอ ติดตั้งราวจับหรือพื้นผิวที่ไม่ลื่น ป้องกันการล้ม ในผู้สูงอายุที่โรคประจำตัวอื่น ๆ ควรรักษาโรคประจำตัวที่มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหรือระบบประสาท เพื่อให้ร่างกายมีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว

2. การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายให้ประโยชน์ในสองด้าน ก็คือ ด้านแรกช่วยให้มีความคล่องแคล่วและมีกำลังกล้ามเนื้อมากขึ้น ทำให้โอกาสเสียหลักหกล้มลดลง และด้านถัดมา การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างมวลกระดูกมากขึ้น ทั้งนี้ ชนิดของการออกกำลังกายที่เหมาะสมก็ขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวสภาพร่างกายเดิม และความหนาแน่นของมวลกระดูกเดิม

3. การรับประทานยา

ยาที่ใช้ในการเพิ่มมวลกระดูกมีหลายชนิด เช่น แคลเซียม วิตามินดี หรือยาที่ยับยั้งการทำลายมวลกระดูก ซึ่งการจะเลือกใช้ยาชนิดใดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์ที่รักษา ไม่ควรซื้อมารับประทานเองเพราะ แต่ละชนิดต่างก็มีผลข้างเคียงของยาอยู่

4. การกำจัดปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้

ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ รับประทนอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดี หลีกเลี่ยงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่อยู่กับที่ ซึ่งข้อนี้คือข้อที่ควรทำในทุกคนไม่ว่าท่านจะเป็นกระดูกพรุนหรือไม่ก็ตาม เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าในอนาคตจะมีโรคอะไรที่ทำเกิดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนขึ้นมาหรือไม่

ข่าวดีคือ การเปลี่ยนจากกระดูกที่ปกติไปเป็นโรคกระดูกพรุน เป็นกระบวนการที่กินเวลาหลายปี การรักษาเพื่อให้สมบูรณ์ปกติก็กินเวลานาน ดังนั้น หากใครรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ควรปรับพฤติกรรม ปรับการใช้ชีวิตเสียแต่วันนี้  เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงนะคะ

ที่มา :

กระดูกพรุน รู้ตัวแต่เนิ่นๆ ป้องกันได้. สืบค้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2558 จาก http://health.kapook.com/view115981.html