All posts by นางจุฑารัตน์ อนุรักษ์มนตรี

เขียนวัสดุที่สั่งซื้ออย่างไร ให้ได้รับวัสดุที่รวดเร็ว และทันต่อความต้องการ

เชื่อว่าทุกหน่วยงานต่าง ๆ ในสำนักหอสมุด ที่สั่งซื้อวัสดุฯ  เพื่อนำมาใช้ในราชการนั้น ย่อมต้องการที่จะได้รับวัสดุที่สั่งซื้อ ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ครบถ้วน ถูกต้อง เพื่อจะได้ทันต่อความต้องการ ซึ่งความต้องการดังกล่าว สามารถเป็นไปได้ โดยที่ทุกหน่วยงานที่สั่งซื้อ ตระหนักและให้ความสำคัญในการเขียนข้อมูลการสั่งซื้อในแบบฟอร์มการสั่งซื้อวัสดุฯ ให้มีรายละเอียดชัดเจน ครบถ้วน และถูกต้อง  เช่น  รายการวัสดุฯที่สั่งซื้อต้องชัดเจน ถูกต้อง เหตุผลที่สั่งซื้อ เนื่องจากอะไร   ประวัติการสั่งซื้อครั้งหลังสุด เมื่อไร  รายละเอียดคุณลักษณะ (Spec)  ควรมีแนบด้วย เป็นต้น  รายละเอียดต่าง ๆ เหล่านี้ หากทุกหน่วยงาน ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน  จะทำให้สำนักงานเลขานุการ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารเบื้องต้น ซึ่งหากไม่ถูกต้องจะถูกส่งเรื่องนำกลับไปแก้ไข หรือจัดทำมาใหม่ ทำให้เสียเวลา แต่หากข้อมูลถูกต้อง ก็สามารถนำเอกสารเรื่องการสั่งซื้อของหน่วยงานท่านไปเสนอต่อท่านรองผู้อำนวยการสายบริหารและพัฒนา เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติและให้งานพัสดุฯดำเนินการจัดซื้อต่อไป

อนึ่ง ขณะนี้แบบฟอร์มการสั่งซื้อวัสดุฯ ได้มีการแก้ไขและเพิ่มเติมข้อความ เพื่อให้เนื้อหารายละเอียดมีความสมบูรณ์ ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม  ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการ   ซึ่งแบบฟอร์มจะได้แจ้งให้ทราบต่อไปในเร็วนี้

อาหารคลีน (Clean Food)

ปัจจุบันนี้ คนไทยหันมาใส่ใจกับสุขภาพกันมากขึ้น  ทำให้กระแสการรักสุขภาพกำลังมาแรง เห็นได้ชัดถึงการเกิดธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมากมาย  แน่นอนสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ทุกคนนึกถึง คือ อาหาร โภชนาการต่าง ๆ  ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด เช่น อาหารเสริม ยาบำรุง ฯลฯ  และที่กำลังมาแรงในหมู่คนรักสุขภาพมาก  ในขณะนี้ คือ การบริโภคอาหารคลีน

หากวันนี้เราพูดถึงอาหารคลีนเมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านคงไม่รู้จัก แต่ปัจจุบันนี้เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก หากเรานำคำว่าอาหารคลีนไปค้นหาในเว็บไซต์ยอดนิยมอย่างเว็บกูเกิล (http://google.com)  ผลลัพธ์ที่ออกมาในอันดับแรกคงหนีไม่พ้น เรื่องการลดน้ำหนัก แล้วอาหารคลีนความจริงมันคืออะไรกันแน่

เมื่อค้นหาในเว็บไซต์กระปุก.คอม ในคอลัมน์สุขภาพ (http://health.kapook.com/view92784.html)  ได้ให้ความหมายไว้ว่า  อาหารคลีน (Clean Food) คือ อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่าง ๆ หรือผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดนั่นเอง อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่สดสะอาดไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสใด ๆ มากจนเกินไป เช่น เค็มจัดหรือหวานจัด เป็นต้น

เมื่อได้คำตอบ หลายท่านคงหายสงสัยแล้วว่า ทำไมทานอาหารคลีน ถึงสามารถช่วยลดความอ้วนได้  เพราะเนื่องจากส่วนใหญ่แล้วอาหารที่ผ่านกระบวนการเก็บรักษา หรือแปรรูปนั้น จะใส่สารเติมแต่งเพื่อให้อาหารสามารถคงสภาพ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพ อีกทั้งอาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งมักให้พลังงานที่สูงเกินความจำเป็นที่ร่างกายต้องการได้รับ ทำให้เกิดไขมันสะสม  และเกิดปัญหาอ้วนตามมา ซึ่งการทำอาหารคลีน นั้น นอกจากคำนึงถึงกระบวนการที่มาของการปรุงแต่งแล้ว ยังคำนึงถึงความสมดุลของอาหาร คือ สัดส่วน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน ไขมัน  เกลือแร่ และใยอาหาร  ซึ่งเมนูส่วนใหญ่ของอาหารคลีน มักใช้ข้าวไรซ์เบอรี่ ฟักทอง มาเป็นเหล่งอาหารให้คาร์โบไฮเดรต  นอกจากได้พลังงานแล้วยังได้กากใยและวิตามินอีกด้วย สำหรับแหล่งโปรตีนมักจะใช้เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน หรือไขมันต่ำ อาทิ อกไก่ ปลา เป็นต้น  นอกจากให้โปรตีนแล้ว ในเนื้อสัตว์เหล่านี้ยังมีไขมันสะสม ซึ่งมีปริมาณเพียงพอต่อร่างกายที่ต้องการ ส่วนการปรุงรสนั้นจะเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น เกลือปรุงรส ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากออร์แกนิก เป็นต้น

สำหรับหลายๆ คนอาจมองว่า การทานอาหารคลีน ในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะส่วนใหญ่ เป็นแม่บ้านอาหารถุงพลาสติก  หากท่านใดไม่มีเวลาทำอาหารเอง หรือไปร้านขายอาหารคลีนจริงๆ การเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง  หรืออาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ให้รับประทานผักผลไม้มากๆ  เชื่อว่า การทานอาหารแบบนี้จะส่งผลดีไม่ต่างจากทานอาหารคลีนอย่างแน่นอน แต่สิ่งสำคัญ ควรมีสุขภาพจิตใจที่แจ่มใส  และออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอ  ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านจะมีสุขภาพร่างกายและจิตใจดีกันถ้วนหน้าแน่นอน

รายการอ้างอิง
อาหารคลีน (Clean Food) คืออะไร มาเริ่มต้นทานอาหารเพื่อสุขภาพ. สืบค้นเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2558 จาก http://health.kapook.com/view92784.html

ชาวโรฮิงญา ชาวโรฮีนจา

ประเทศไทยในเวลานี้ กำลังเป็นประเด็นร้อนแรง คงหนีไม่พ้นปัญหาเรื่อง ชาวโรฮีนจาซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้น แต่กำลังส่งผลกระทบไปทั้งภูมิภาคอาเซียน เป็นที่น่าสนใจในสังคมออนไลน์ถึงการวิภาควิจารณ์การช่วยเหลือ และเสียงกดดันจากนานาอารยะประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา สำหรับบทความนี้จะพาไปรู้จักพวกเขาว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมถึงเป็นปัญหาได้ทุกวันนี้

ชาวโรฮีนจา เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ (อาระกัน) ทางตะวันตกของประเทศพม่า และพูดภาษาโรฮีนจา ชาวโรฮีนจา และนักวิชาการบางส่วนกล่าวว่า โรฮีนจาเป็นชนพื้นเมืองในพื้นที่รัฐยะไข่ ในขณะที่นักประวัติศาสตร์บางส่วนอ้างว่า พวกเขาอพยพเข้าพม่าจากเบงกอลในสมัยการปกครองของสหราชอาณาจักรเป็นหลัก และนักประวัติศาสตร์ส่วนน้อยกล่าวว่า พวกเขาอพยพมาหลังจากพม่าได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2491 และหลังจากบังกลาเทศทำสงครามประกาศเอกราชในปี พ.ศ. 2514 หลังสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่หนึ่งในปี พ.ศ. 2369  สหราชอาณาจักรผนวกรัฐยะไข่และสนับสนุนให้มีการย้ายถิ่นจากเบงกอลเพื่อทำงานเป็นผู้ใช้แรงงานในไร่นา ประชากรมุสลิมอาจมีจำนวนถึงร้อยละ 5 ของประชากรรัฐยะไข่แล้วเมื่อถึงปี พ.ศ. 2412  แต่จากการประเมินของปีก่อนหน้าก็พบว่ามีจำนวนสูงกว่านี้ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ความรุนแรงระหว่างชุมชนก็ปะทุขึ้นระหว่างชาวยะไข่ซึ่งนับถือศาสนาพุทธกับหน่วยกำลังวี (V-Force) ชาวโรฮิงญาที่สหราชอาณาจักรติดอาวุธให้ และการแบ่งขั้วก็รุนแรงมากขึ้นในพื้นที่ในปี พ.ศ. 2525 รัฐบาลพลเอกเนวีน ตรากฎหมายความเป็นพลเมือง ซึ่งปฏิเสธความเป็นพลเมืองของชาวโรฮีนจา  จนทำให้พวกเขาเหล่านี้ตกอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ ไร้รัฐ และไร้แผ่นดินอยู่ จนตกลี้ภัยออกนอกประเทศโดยทางเรือ เพื่อจะเดินทางไปยังประเทศที่ 3  อาทิ มาเลเซีย อินโดนิเซีย เป็นต้น โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน สำหรับประเทศไทยนับว่าปัญหานี้เป็น “เผือกร้อนในมือ” เพราะในโลกของความเป็นจริง ไม่มีชาติใดในภูมิภาค ยินดีต้อนรับพวกเขาเหล่านี้ขึ้นแผ่นดิน ทำได้เพียงให้การช่วยเหลือด้านอาหารตามหลักสิทธิมนุษยชน และผลักดันออกน่านน้ำประเทศของตนเอง รวมถึงประเทศไทย แต่สำหรับประเทศไทยไม่เป็นเช่นนั้นเพราะกำลังถูกกดดันจากชาติตะวันตกในข้อหาการค้ามนุษย์ โดยเรียกร้องให้ไทยช่วยเหลือตั้งค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศ

รายการอ้างอิง

14 Facts to help you understand the complex situation of Rohingya refugees. Retrieve 24/05/2015  from http://says.com/my/news/facts-about-rohingya-refugees-and-their-plight

คีตราชนิพนธ์ สู่สังคมแห่งความสุข

เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2558 เวลา 20.00 น. ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง  “คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์” ณ โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งเปิดให้ประชาชนชาวไทยได้ชมฟรี โดยการลงทะเบียนจองที่นั่งล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์และรอบฉายขึ้น สำหรับบทความนี้จะขอนำเสนอแง่คิดดีๆที่ได้จากบทภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์ “คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์” นั้นมีแนวคิดมาจาก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใส่พระทัยในพสกนิกร โดยทรงริเริ่มโครงการต่างๆ มากมาย เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนของพี่น้องชาวไทย  หากในแง่การเติมเต็มพลังใจ พระองค์ท่านยังพระราชทานขวัญ กำลังใจ แก่ประชาชนผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์อันแฝงไปด้วยปรัชญา การดำเนินชีวิตมากมายหลายต่อหลายเพลง และ 4 บทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ 4 ผู้กำกับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ถ่ายทอดเรื่องราวสู่ 4 บทภาพยนตร์ โดยได้รับการสนับสนุนจาก  บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยภาพยนตร์เรื่องแรกคือ เรื่อง “ชะตาชีวิต” ภาพยนตร์ที่ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต” สู่เรื่องราวของคุณยายทั้งสองท่านที่มีชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่สามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนก่อเกิดความผูกพัน และการสานต่อความฝันของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 คือ “อมยิ้ม” ภาพยนตร์ที่ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ยิ้มสู้” สู่หนังรักใสๆ และน่าประทับใจ เป็นเรื่องราวที่จะพาเราไปค้นหาสำรวจและตั้งคำถามกับตัวเราเองว่า เรากำลังปฏิบัติกับคนรอบตัวอย่างไร เรากำลังทำร้ายคนอื่นด้วยความคิดเราเองอยู่หรือเปล่า เราตัดสินกันอย่างง่ายดายเกินไปหรือไม่ ภาพยนตร์เรื่องที่ 3 คือ “ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง” ภาพยนตร์ที่ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจ มาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์  “สายฝน”     และเรื่องของ     สืบ    นาคะเสถียร  นักสู้ผู้อุทิศชีวิตเพื่อผืนป่า ที่ทำให้ทุกท่านพบกับคำว่าเสียสละเพื่อส่วนรวม ภาพยนตร์เรื่องที่ 4 คือ เรื่อง “ดาว” ภาพยนตร์ที่ผู้กำกับได้แรงบันดาลใจมาจากบทเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่อยากเป็นคนเชิญธงชาติของโรงเรียน ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของนักเรียนทุกคน ดังนั้น ทันทีที่ครูประกาศหาคนเชิญธงคนใหม่แทนพี่ ป.6 ที่กำลังจะจบการศึกษา การแข่งขันของหนุ่มน้อยสองคนจึงเกิดขึ้น  เรื่องราวของการแข่งขันระหว่างเด็ก 2 คนสู่หนทางแห่งการได้เป็นคนเชิญธงชาติ เขาเลือกที่จะแพ้อย่างใสสะอาด ไม่ทุจริต แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้เชิญธงชาติ แต่เขาได้ดาวจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งทำให้เด็กน้อยผู้นี้ภาคภูมิใจอย่างมาก (www.คีตราชนิพนธ์.com)

ข้อคิดสำหรับการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ สะท้อนให้สังคมเห็นว่า การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม และในการทำงานนั้น เราควรอยู่อย่างมีความสุข แม้ชะตาชีวิตของแต่ละคนจะแตกต่างกัน หน้าที่การงาน ตำแหน่งงานจะต่างกัน แต่รอยยิ้มจะทำให้เราเท่ากัน ขอให้รู้จักคำว่าเสียสละ รับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เท่านี้สังคมก็จะมีความสุขอย่างเท่าเทียมกัน

รายการอ้างอิง
คีตราชนิพนธ์ บทเพลงในดวงใจราษฎร์. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2558 จาก  http://www.xn--42cm6anea8azb1jwaf9z.com/

Happy 8 Workplace ความสมดุลของการใช้ชีวิต และการทำงาน 8 ประการ

Happy 8 Workplace คือ กระบวนการพัฒนาคนในองค์กรอย่างมีเป้าหมายและยุทธศาสตร์ ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร  เพื่อให้องค์กรมีความสามารถ และพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง นำพาองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคน มีความปรารถนาและแสวงหาความสุขด้วยกันทุกคน   ความสุขที่ว่านี้แบ่งเป็น 3 ข้อ

  1. ความสุขต่อตัวเอง
  2. ความสุขต่อครอบครัว
  3. ความสุขต่อสังคม

ดังนั้น  มาสร้างองค์กรแห่งความสุข  กันเถอะ   Happy 8 Workplace  มีดังต่อไปนี้

1. ความสุขต่อตัวเอง

  1. Happy Body การมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใส รู้จักใช้ชีวิต
  2. Happy Heart น้ำใจงาม มีน้ำใจคิดถึงผู้อื่น เอื้ออาทรต่อกันและกัน รู้จักบทบาทเจ้านาย และลูกน้อง บทบาทของคุณพ่อ คุณแม่
  3. Happy Relax การผ่อนคลาย รู้จักผ่อนคลายต่อสิ่งต่าง ๆ ทั้งในในการดำเนินชีวิต และการทำงาน
  4. Happy Brain การหาความรู้ การศึกษาหาความรู้ พัฒนาตนเองเองตลอดเวลาจากแหล่งต่าง ๆ จะนำไปสู่ความมั่นคงก้าวหน้าในการทำงาน นำพาองค์กรไปสู่ความเป็นเลิศ
  5. Happy Soul คุณธรรม มีความศรัทธาในศาสนาและมีศีลธรรมในการดำเนินชีวิต มีความละอายและเกรงกลัวต่อการกระทำของตน
  6. Happy Money ใช้เงินเป็น มีเงินรู้จักเก็บ รู้จักใช้

Continue reading Happy 8 Workplace ความสมดุลของการใช้ชีวิต และการทำงาน 8 ประการ